Quantcast
Channel: Limitless Cinema
Viewing all 3293 articles
Browse latest View live

21 UP (1977, Michael Apted, documentary, UK, A+30)

$
0
0
21 UP (1977, Michael Apted, documentary, UK, A+30)

ทำไมดูแล้วร้องห่มร้องไห้ ทั้งๆที่เนื้อหาของหนังก็เป็นแค่เรื่องราวชีวิตคนธรรมดากลุ่มนึง บางทีคงเป็นเพราะเราได้เห็นอดีตและอนาคตของแต่ละคนมั้ง คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เพียงแค่สัมภาษณ์คนธรรมดา 14 คนขณะอายุ 21 ปี เราก็คงไม่รู้สึกอะไรมากขนาดนี้ แต่นี่เป็นเพราะเรารู้จัก “อดีต” ของแต่ละคนเป็นอย่างดี และเป็นเพราะเรารู้ว่า “อนาคต” ของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร เราก็เลยเกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเมื่อได้เห็นแต่ละคนขณะอายุ 21 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ชายแต่ละคนอยู่ในช่วงที่ดูดี น่ากินที่สุดแล้ว

นีลคงเป็น “subject” ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเรา ชีวิตเขามันชิบหายมากๆ และเราว่าสิ่งที่เขาพูดก็น่าสนใจมากๆ

บรูซถือเป็นผู้ชายที่เรารู้สึกสนใจมากที่สุดในแง่ spiritual เราว่าเขาน่าสนใจดี ในแง่ที่ว่า เขาดูเหมือนจะเกิดในครอบครัวฐานะดี และเขาก็เหมือนจะมีความรักความเมตตาความต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากๆ ตอนที่เขาเป็นเด็ก 7 ขวบเขาต้องการจะไปทวีปแอฟริกา เพื่อไปช่วย civilize คนที่นั่น และพอโตขึ้น เขาก็ไปทำงานในบังกลาเทศ เราว่าบรูซเป็นคนที่ตรงข้ามกับเราในแบบที่เราต้องการน่ะ คือเราเป็นคนที่ “ขาดความรัก” แต่บรูซเป็นคนที่ “มีความรักเปี่ยมล้นอยู่ในใจ และต้องการมอบความรักให้เพื่อนมนุษย์” คือเราเป็นคนที่มีพลังในทางลบ หรือพลังอำนาจในการทำลายล้างสูงมาก แต่บรูซเป็นคนที่มีพลังบวกสูงมาก เราก็เลยรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายแบบที่จะช่วยเสริมในสิ่งที่เราขาดได้ 555


แต่ถ้าถามว่าอยากได้ใครเป็นสามีมากที่สุดในเรื่องนี้ ดิฉันก็ขอเลือกนิค นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดค่ะ เราว่านิคเป็นเด็กผู้ชายที่ดูหน้าตาแย่สุดในเรื่องตอน 7 ขวบ แต่กลายเป็นผู้ชายที่ดูน่ากินที่สุดตอนอายุ 21 ปี ผู้ชายบางคนนี่ประมาทไม่ได้จริงๆ เขาอาจจะดูเห่ยมากๆตอนเด็กๆ แต่พอโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์แล้วนี่ ...

28 UP (1984, Michael Apted, UK, documentary, A+30)

$
0
0
28 UP (1984, Michael Apted, UK, documentary, A+30)

--ชอบฉากที่นีล ซึ่งเป็นคนไร้บ้าน พูดถึง “พระเจ้า” มากๆ

--ชอบปีเตอร์มากๆที่ด่ามาร์กาเร็ต แธทเชอร์อย่างรุนแรง แต่น่าเสียดายที่เขาถูกสื่อมวลชนเลวๆโจมตี เขาก็เลยถอนตัวออกไปเลยหลังจากแสดงใน 28 UPและไม่ยอมมาให้สัมภาษณ์ใน 35 UP, 42 UP กับ 49 UP แต่พอเขาแก่ตัวแล้ว เขาก็กลับมาปรากฏตัวใหม่อีกใน 56 UP เพื่อโปรโมทวงดนตรีของตัวเอง 555

--ในภาค 4 นี้ หลายคนมีครอบครัว มีลูกแล้ว และปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ว่า สามีกับภรรยาจะแบ่งภาระหน้าที่ในการเลี้ยงลูกยังไง สามีหรือภรรยาต้องลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่อินกับประเด็นนี้ 555

--เหมือนผู้สร้างหนังพยายามจะสะท้อนปัญหาสังคมเรื่องคนรวย คนจน แต่ “คนจน” หลายคนในเรื่อง ก็บอกว่าตัวเองไม่อิจฉาคนรวยเลย ตัวเองมีความสุขดี ตัวเองมีทุกอย่างที่ตัวเองต้องการแล้ว แม้แต่นีล ซึ่งเป็นคนไร้บ้าน ก็บอกว่าตัวเอง content กับชีวิต

ซึ่งเราเชื่อว่า หลายคนพูดจริงนะ เพราะ “คนจน” หลายคนในเรื่อง มีบ้านอยู่สุขสบายน่ะ คือย่าน “working class neighborhood” ของคนจนผิวขาวชาวอังกฤษในหนังเรื่องนี้ ดูเผินๆมันก็เหมือนย่านชนชั้นกลางในกรุงเทพน่ะ มันไม่ได้เป็นแฟลตนรกแบบในหนังของ Mike Leigh หรือ Ken Loach

คือดูแล้วเห็นได้ชัดเลยว่า “ชนชั้นแรงงาน” ผิวขาวในอังกฤษนี่ ฐานะดีกว่าเราหลายเท่า คือเราอายุ 44 ปีแล้ว ยังไม่มีเงินซื้อบ้านหรือคอนโดของตัวเองเลย แต่ชนชั้นแรงงานในอังกฤษนี่ อายุ 20 กว่าปี ก็มีบ้านหลังเล็กอยู่อย่างสุขสบายแล้ว ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด

ตัวโทนี่ ก็น่าสนใจมาก คือเขาทำงานเป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่พอโตขึ้นจนอายุ 49 ปี เขาก็มีบ้านสองหลังในอังกฤษ และก็มีบ้านอีกหลังนึงในสเปนด้วย เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าการทำงานขับรถแท็กซี่ 20 กว่าปี จะส่งผลให้เรามีเงินซื้อบ้านได้ถึง 3 หลัง อาชีพนี้ทำเงินได้ดีเกินคาดจริงๆ

แต่แน่นอนว่า หลายคนในหนังก็ย้ำแหละว่า พวกเขาคือตัวเขาเอง พวกเขาไม่ใช่ “representation” ของคนกลุ่มใดกลุ่มนึงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเราก็ไม่สามารถเหมารวมได้หรอกว่า เราสามารถตัดสิน “ชนชั้นแรงงาน” ในอังกฤษ โดยดูจากคนหลายๆคนในหนังเรื่องนี้ได้

--ถ้าเข้าใจไม่ผิด ในหนังชุด UP SERIES ชุดนี้นั้น ผู้สร้างหนังแค่นัดเจอsubjects แต่ละคนทุกๆ 7 ปีน่ะ คือไม่ได้ตามถ่ายตลอดเวลา คือเหมือนกับว่า พอครบ 7 ปี subjects แต่ละคนก็ไปนั่งให้สัมภาษณ์บวกกับให้ถ่ายภาพชีวิตแค่ 1-2 วันเท่านั้นเอง หนังมันเลยไม่ได้ “สุดยอด” มากเท่าที่ควร เพราะหนังไม่ได้ถ่ายให้เราเห็นชีวิตประจำวันของตัวละคร หนังแค่ให้ตัวละครมาเล่าสรุปชีวิตตัวเองในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า subjects หลายๆคนก็คงไม่เปิดเผยด้านลบของตัวเองมากนัก


แต่แค่นี้ก็ชอบหนังสุดๆแล้วนะ เพียงแต่ว่าตัว subjects กับผู้สร้างคงไม่ได้สนิทกันมากนักน่ะ เพราะนัดเจอกันแค่ 7 ปีครั้งนึง แล้วก็ถ่ายทำกันแค่วันสองวันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นมันก็เลยอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนหนังสารคดีบางเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังสารคดีเรื่องROMANS D’ADOS 2002-2008 (2010, Béatrice Bakhti, Switzerland) ที่ถ่ายทำชีวิตเด็กวัยรุ่นนาน 6 ปี เราว่าหนังเรื่องนั้นถ่ายทอด “ส่วนลึก” ในตัว subjects แต่ละคนได้ดีกว่า UP SERIES มากๆ แต่มันก็ดีกันไปคนละแบบน่ะแหละ คือ ROMANS D’ADOS มันลึกได้ เพราะมันเจาะช่วงเวลาแค่ 6 ปี ในขณะที่ UP SERIES คง “ลึก” ไม่ได้ เพราะมันครอบคลุมเวลา 49 ปีเข้าไปแล้ว

FAVORITE SUPPORTING ACTRESS OF THE YEAR 2017

$
0
0
FAVORITE SUPPORTING ACTRESS OF THE YEAR 2017

ชอบ Ruby Rose จากหนังเรื่อง RESIDENT EVIL: THE FINAL CHAPTER (2016, Paul W.S. Anderson), XXX: RETURN OF XANDER CAGE (2017, D.J. Caruso), JOHN WICK: CHAPTER 2 (2017, Chad Stahelski) และ PITCH PERFECT 3 (2017, Trish Sie, A)


เห็นมาดเธอและใบหน้าเธอแล้ว อยากให้เธอได้บทดีๆแบบ Zoe Lund และ Beatrice Dalle น่ะ แต่เรากลัวว่า ถ้าหากเธอยังเล่นแต่หนังฮอลลีวู้ดโง่ๆต่อไป เธอก็อาจจะกลายเป็นแค่ Michelle Rodriguez คนที่สอง

BATHING WITH FIGHTING FISH (2016, Watjakorn Hankoon, 13min, A+25)

$
0
0
BATHING WITH FIGHTING FISH (2016, Watjakorn Hankoon, 13min, A+25)
อาบน้ำกับปลากัด (วัจน์กร หาญกุล)

ถ้าหากใครชอบ “ยามน้ำฟ้าตกมาสู่เฮา” เราก็ขอแนะนำให้ดูหนังเรื่องนี้ด้วยนะ เราเข้าใจว่าอาบน้ำกับปลากัดมันเป็นภาคแรก ส่วน “ยามน้ำฟ้าตกมาสู่เฮา” มันเป็นภาคสองน่ะ เพราะหนังสองเรื่องนี้มีตัวละครเป็นเด็กชายวัย 11 ขวบชื่อ “เบส” และ “บีม” เหมือนกัน และน่าจะใช้นักแสดงกับสถานที่ถ่ายทำที่เดียวกันด้วย


เราว่า “ยามน้ำฟ้าตกมาสู่เฮา” มีความ cinematic กว่า “อาบน้ำกับปลากัด” แต่ “อาบน้ำกับปลากัด” มีความ homoerotic สูงกว่า เพราะมีฉากเด็กชายสองคนอาบน้ำด้วยกัน และมีฉากขี่จักรยานแบบเท้าแนบเท้ากันอย่างเริงระรื่นชื่นบานสราญเริงสุขแบบในภาพนี้

REVENGER SQUAD

$
0
0
24 HOURS TO LIVE (2017, Brian Smrz, South Africa, A+20)

ชอบตัวละครนางเอก จองเป็นตัวนี้


GANDARRAPIDDO! THE REVENGER SQUAD (2017, Joyce Bernal, Philippines, A+5)

ถ้าพจน์ อานนท์ กำกับ SAILOR MOON มันก็คงจะออกมาแบบนี้แหละ 555

อีกอย่างนึงที่น่าจะเหมือนหนังพจน์ อานนท์ก็คือว่า มันพาดพิงมุกตลกภายในประเทศเยอะมาก ซึ่งคนนอกอย่างเราดูแล้วก็จะไม่เข้าใจ คือประมาณได้ว่า คนดูฟิลิปปินส์หัวเราะไปแล้ว 10 ครั้ง เราจะหัวเราะไปแค่ 2 ครั้ง เพราะ 80% ของมุกตลกในหนังเป็นเรื่องราวในวัฒนธรรมและสังคมฟิลิปปินส์

ฉากที่ชอบที่สุดในหนัง อยู่ช่วงต้นเรื่อง ซึ่งก็คือฉากที่แก๊งกะเทยของนางเอก ปะทะกับแก๊งกะเทย 3 คนในสนามแข่งรถ

จริงๆแล้วเราอยากให้หนังเรื่องนี้เน้นตลกมากกว่าดราม่านะ แต่ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้ให้น้ำหนักกับดราม่ามากพอสมควร ซึ่งปกติแล้ว เรามักจะชอบอะไรแบบนี้ คือเราชอบหนังผี, หนังตลก, หนังรักโรแมนติก หรือหนัง genre ต่างๆที่มีดราม่าเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่า ดราม่าเรื่องครอบครัวหรืออะไรต่างๆในหนังเรื่องนี้ มันเป็นดราม่าที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกจริงๆรองรับอยู่น่ะ เพราะฉะนั้นแทนที่ “ความเป็นดราม่า” ในหนังเรื่องนี้ จะช่วยให้หนังเข้าทางเรา มันกลับทำให้เรารู้สึกเบื่อหนังแทน และเราอยากให้หนังเล่นตลกไร้สาระ ด่าๆทอๆเหี้ยๆห่าๆไปเรื่อยๆมากกว่า

ส่วนหนังที่เราว่า “ดราม่า” แล้วเข้าทางเรามากๆ คือหนังอย่าง “ฮัลโหล จำเราได้ไหม” ซึ่งมีความเป็นหนังสยองขวัญแค่ 30-40% แต่มี “ความดราม่าชีวิตต้องสู้ + รักเลสเบียน” ซะ 60-70% และเราว่าไอ้ส่วนที่เป็นดราม่าใน “ฮัลโหล จำเราได้ไหม” มันผูกพันกับอารมณ์ความรู้สึกจริงๆของมนุษย์น่ะ เพราะฉะนั้นความดราม่ามันเลยช่วยเสริมหนังให้หนักแน่นมากๆ ในขณะที่ความดราม่าใน THE REVENGER SQUAD กลับไปถ่วงหนังแทน


NIRANAM YUMMAYOOSHI (2015, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation, A+30)

$
0
0
NIRANAM YUMMAYOOSHI (2015, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation, A+30)

--สงสัยว่า Yummayooshi แปลว่าอะไร
--ชอบตอนที่ภาพการแกะสลักรูปปั้นซ้อนทับกับภาพหมา และภาพท้องทะเลที่มีหมาวิ่งเล่น เหมือนเรามักจะชอบหนังที่มี superimposition อยู่แล้วน่ะ และวิดีโอนี้ก็เล่นกับเทคนิคนี้มากๆ
--ตอนแรกนึกว่ายาวแค่5 นาที ก็ยืนดูไปเรื่อยๆ ปรากฏว่า 15 นาทีแล้วยังไม่จบ 555

--ปรากฏว่า video installation ที่ดูในช่วงระยะนี้ เป็นวิดีโอบันทึกการสร้างผลงานประติมากรรมทั้งนั้นเลย ทั้งวิดีโอ THE MAKING OF KIRATI’S SCULPTURE (2017, Chulayarnnon Siriphol) ที่ Bangkok CityCity Gallery และ 246247596248914102516...AND THEN THERE WERE NONE (2017, Arin Rungjang) ก็มีบางส่วนที่เป็นการบันทึกการสร้างงานประติมากรรมเหมือนกัน 

Agnès Varda’s films in my preferential order

$
0
0
Agnès Varda’s films in my preferential order

1.LES CREATURES (1966)

2.VAGABOND (1985)

3.DAGUERREOTYPES (1976, documentary)

4.CLEO FROM 5 TO 7 (1961)

5.KUNG-FU MASTER (1987)

6.THE GLEANERS & I (2000, documentary)

7.LES DITES CARIATIDES (1984, documentary)

8.LE BONHEUR (1965)

9.THE YOUNG GIRLS OF ROCHEFORT (1967, with Jacques Demy)

10.JACQUOT DE NANTES (1991)

11.FACES PLACES (2017, documentary)

12.YDESSA, THE BEARS, AND ETC. (2004, documentary)

13. THE GLEANERS & I: TWO YEARS LATER (2002, documentary)

14.THE YOUNG GIRLS TURN 25 (1993, documentary)

ตอนนี้ไม่แน่ใจว่า เราเคยดู THE UNIVERSE OF JACQUES DEMY (1995) หรือเปล่า เราว่าเราอาจจะเคยดูหนังเรื่องนี้ที่ Alliance Française นะ แต่ก็ไม่แน่ใจ 100% เต็ม มีใครจำได้บ้างไหมว่าหนังเรื่องนี้เคยฉายที่ Alliance หรือเปล่า

แต่หนึ่งในสิ่งที่เราภูมิใจสุดๆก็คือว่า Alliance Française ในกรุงเทพ เคยให้เราเลือกหนังฝรั่งเศส 10 เรื่องใน catalogue ของ Alliance มาฉายในช่วงปลายปี 2008 ถึงต้นปี 2009 ด้วย และเราก็เลยเลือก JACQUOT DE NANTES ของ Varda เป็นหนึ่งในสิบเรื่องนั้น เราก็เลยภูมิใจมากว่าๆ เรานี่แหละที่เป็นคนทำให้ JACQUOT DE NANTES ของวาร์ดา ได้เคยเปิดฉายในกรุงเทพในวันที่ 25 ก.พ. 2009 :-)
ส่วน ONE SINGS, THE OTHER DOESN’T (1977) นั้น เรายังไม่ได้ดู แต่อยากดูมากๆ


9 MOST FAVORITE CHARACTERS

$
0
0
9 MOST FAVORITE CHARACTERS

1.Lena, the bank clerk (Katharina Thalbach) in THE SECOND AWAKENING OF CHRISTA KLAGES (1977, Margarethe von Trotta, West Germany)

2. Carnelle (Holly Hunter) in MISS FIRECRACKER (1989, Thomas Schlamme)

3.Shirley Valentine (Pauline Collins) in SHIRLEY VALENTINE (1989, Lewis Gilbert)

4.แมงมุม (ฮึงลี้) ใน “ดาบมังกรหยก” เวอร์ชั่นเหลียงเฉาเหว่ย

5.Queen Akasha (Aaliyah) in QUEEN OF THE DAMNED (2002, Michael Rymer)

6.สิงห์สาวหน้ากากเหล็ก (Yoko Minamino) in SUKEBAN DEKA SEASON 2 (TV series, 1985)

7.Thymian (Louise Brooks) in DIARY OF A LOST GIRL (1929, Georg Wilhelm Pabst, Germany)

8.Ann Talbot (Jessica Lange) in MUSIC BOX (1989, Costa-Gavras)

9.Wai Hoi Yee (Maggie Siu) in CONSCIENCE (1994, Hong Kong TV series)

จริงๆแล้วต้องมี “เวฬุรีย์” (นิสา วงศ์วัฒน์) จาก เพลิงพ่าย (1990) ด้วย แต่หารูปจากละครทีวีเรื่องนี้ไม่ได้เลย


ส่วนตัวละครชายที่อยากได้เป็นผัวมากที่สุด คือ Ted Baker (Brad Johnson) จาก ALWAYS (1989, Steven Spielberg) แต่ก็หารูปดีๆของ Brad Johnsonจากหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยได้เหมือนกัน

A BRIGHTER SUMMER DAY

$
0
0
THE LAUNDRYMAN (2015, Chung Lee, Taiwan, A+30)

รู้สึกว่าหนังมันมีจุดที่ไปพ้องกับ THE TOP SECRET: MURDER IN MIND (2016, Keishi Ohtomo, Japan) โดยบังเอิญ แต่แตกต่างกันตรงที่ ในขณะที่ THE TOP SECRET ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาฆาตกรโรคจิต THE LAUNDRYMAN กลับใช้ไสยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาฆาตกรโรคจิต

A BRIGHTER SUMMER DAY (1991, Edward Yang, Taiwan, second viewing, A+30)

เลือกผู้ชายคนไหนดี     
1.Xiao Si’r
2.Tiger
3.Ma
4.Honey
5.All of the above

--ชอบข้อสังเกตของ Kwan Jiyui มากๆที่ว่าHoney เหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่น คือเราว่า Honey ดู “ดี” และ “เท่” มากๆน่ะ นึกถึงพระเอกในการ์ตูนแบบ “ไออิและมาโกโต้” ที่เราเคยอ่านตอนเด็กๆเลย

--ตอนดูหนังเรื่องนี้ เราจะนึกถึงหนังเรื่อง CRUEL STORY OF YOUTH (1960, Nagisa Oshima) ด้วย เพราะมันพูดถึง “วัยรุ่นที่เบี่ยงเบนเข้าสู่แก๊งนักเลง” เหมือนกัน แต่เราว่าถ้าเป็นหนังของ Oshima พระเอกจะเป็นแบบ Tiger มากกว่า Xiao Si’r น่ะ เพราะตัวละครนำของ Oshima จะ “มืด” หรือ “เทาเกือบดำ” ในขณะที่ตัวละครเอกของ A BRIGHTER SUMMER DAY จะ “เทาเกือบขาว”


คือเราว่าหนังของ Oshima ตัวละครจะ “แร่ดทั้งข้างนอกและข้างใน” หรือ “แรงทั้งข้างนอกและข้างใน” น่ะ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากๆใน A BRIGHTER SUMMER DAY คือตัวละครนำข้างนอกมันดูไม่แรง แต่ข้างในมันแรง ทั้งนางเอกและพระเอก คือเราชอบมากที่พระเอกดูภายนอกไม่ใช่คนที่เกเรมากนัก แต่เขาเป็นคนที่มี “ไฟเผาผลาญอยู่ในใจ” รุนแรงมากๆ คือเขาเป็นคนที่อยู่เฉยๆจะไม่ไปเกะกะระรานใคร แต่ถ้าหากมีใครไปหาเรื่องเขาก่อน เขาก็จะกลายเป็นเพลิงเผาผลาญรุนแรงขึ้นมาทันที และในที่สุดมันก็เผาผลาญทั้งตัวเขาเองและคนใกล้ตัวเขาด้วย

HANG IN THERE, KIDS!

$
0
0
WHITE ANT (2016, Chu Hsien-Che, Taiwan, A+30)

รู้สึกว่ามันเหมาะจะปะทะกับหนังไทยเรื่อง “ไม่มีใครปกติ” (2013, Palida Dumrongthaveesak) มากๆ แต่หนังสองเรื่องนี้มันต่างกันตรงที่ “ไม่มีใครปกติ” เป็นหนังแบบ plot-driven ที่เน้นการหักมุม ส่วน WHITE ANT เป็นหนังแนว character-driven

GODSPEED (2016, Chung Mong-Hong, Taiwan, A+10)

รู้สึกว่ามันประหลาดและเป็นตัวของตัวเองดี แต่มันไม่สนุกสำหรับเราน่ะ หรือเราอาจจะจูนไม่ติดกับมันก็ได้ คือตอนดูจะนึกถึงหนังอย่าง THE WINNER (1996, Alex Cox), ONLY GOD FORGIVES (2013, Nicolas Winding Refn), หนังของ Quentin Tarantino และหนังของธนิ ฐิติประวัติในแง่ที่ว่า มันเป็นการหยิบเอาตัวละครในหนังแนว “อาชญากรรม” มาใช้ชีวิตในหนังเซอร์เรียล หรือใส่ในหนังที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาด แต่เรารู้สึกว่า GODSPEED มันขาดอะไรบางอย่างที่จะทำให้เรารู้สึกสุดขีดกับมัน คือสไตล์มันก็ไม่ได้จัดจ้านแบบหนังของ Nicolas Winding Refn และโครงสร้างการเล่าเรื่องของมันก็ไม่ได้พิสดารแบบหนังของ Tarantino และธนิ ฐิติประวัติ และมันก็ไม่ได้มีความเก๋แบบหนังคัลท์ยากูซ่าญี่ปุ่นของ Seijun Suzuki หรือหนังอย่าง POSTMAN BLUES (1997, Sabu), SHARK SKIN MAN AND PEACH HIP GIRL (1998, Katsuhito Ishii) และ DIAS POLICE: DIRTY YELLOW BOYS (2016, Kazuyoshi Kumakiri) ด้วย

สรุปว่า ชอบที่มันประหลาดดี แต่เราจูนกับมันไม่ได้

HANG IN THERE, KIDS! (2016, Laha Mebow,Taiwan, A+30)

งดงามมากๆ ไม่รู้กำกับเด็กได้ยังไง ชอบความเป็นธรรมชาติของหนังน่ะ คือจริงๆแล้วหนังก็มี “ประเด็น” แทรกอยู่เต็มไปหมดนะ ทั้งประเด็นเรื่องชีวิตชนเผ่า, การติดเหล้า, การศึกษา, อาชญากรรม แต่ในขณะที่หนังมีประเด็นเรื่องชนเผ่าแทรกอยู่ด้วยนั้น หนังกลับไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะเสนอแต่ประเด็นอย่างเดียว แต่กลับถ่ายทอดชีวิตตัวละครออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติตลอดเวลาด้วย

รู้สึกว่าหนังมันมี “พลังของชีวิต” เปี่ยมล้นมากๆสำหรับเราน่ะ หนังมันเหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างหนัง “ชีวิตเด็กที่ไม่มีประเด็น” อย่าง MUSASHINO HIGH VOLTAGE TOWER (1997, Naoki Nagao) ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบมากที่สุดในชีวิต กับหนัง “ชีวิตชนกลุ่มน้อย” แบบ “หนังเกี่ยวก้อย” หรือ 3 INDIAN TALES (2014, Robert Morin)

เราว่า HANG IN THERE, KIDS มันให้ “พลังชีวิต” แก่เราในแบบที่ใกล้เคียงกับหนังอย่าง MUSHROOMS (2014, Oscar Ruiz Navia, Colombia) และ MY SISTER’S QUINCEANERA (2013, Aaron Douglas Johnston) น่ะ แต่ยังไม่ถึงขั้นหนังสองเรื่องนี้นะ เหมือน HANG IN THERE, KIDS มันยังขาด magic อะไรบางอย่างอีกนิดนึง แล้วมันถึงจะสะเทือนใจเราได้เท่าหนังสองเรื่องนี้

ODE TO TIME (2016, Hou Chi-jan, Taiwan, documentary, A+25)

เราว่าผู้กำกับทำดีที่สุดแล้วล่ะ เราชอบการร้อยเรียงเรื่องต่างๆในหนังมากๆ แต่สาเหตุที่เราอาจจะยังไม่ชอบหนังถึงขั้น A+30เป็นเพราะว่าเราไม่คุ้นกับเพลงในหนังและไม่ได้ชอบเพลงในหนังมากนัก แต่เราว่าผู้กำกับทำหน้าที่ของตัวเองได้น่าพอใจมากแล้วสำหรับเรา คือปัญหาเล็กน้อยของเราที่มีต่อหนังไม่ได้เกิดจากฝีมือการกำกับ แต่เกิดจากการที่เราไม่ได้อินกับ “เนื้อหา” ของหนังมากนัก

แต่ก็ชอบที่หนังทำให้เราได้รับรู้ความทุกข์ของคนที่จำใจต้องทิ้งจีนแผ่นดินใหญ่มาอยู่ไต้หวันนะ ซึ่งเป็นความทุกข์ของคนรุ่นพ่อแม่ของนักร้องต่างๆในหนังเรื่องนี้ เราว่าการถ่ายทอดความทุกข์ของคนรุ่นนั้นออกมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากสำหรับเรา

แต่ถ้าเทียบกับหนังสารคดีเพลงเรื่องอื่นๆแล้ว เราก็ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ “เกือบสุดๆ” นะ เพราะเราว่าผู้กำกับทำงานได้ดี แต่อาจจะชอบน้อยกว่าหนังสารคดีเพลงบางเรื่องที่มันมี “เนื้อหา” ที่โดนใจเรามากกว่า อย่างเช่น MY BUDDHA IS PUNK (2015, Andreas Hartmann) ที่ชีวิตนักดนตรีในหนังมันน่าสนใจกว่า เพราะชีวิตนักดนตรีพม่ามันลำบากยากแค้นกว่านักดนตรีไต้หวัน หรือหนังอย่าง SONG FROM LAHORE (2015, Sharmeen Obaid-Chinoy, Andy Schocken) และ BUENA VISTA SOCIAL CLUB ที่ “ดนตรี” ในหนังมันเข้าทางเรามากกว่า


ดีใจมากๆที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ของ Hou Chi-jan เพราะเราเคยชอบหนังเรื่อง ONE DAY (2010) ของเขาอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าเราชอบ WHEN A WOLF FALLS IN LOVE WITH A SHEEP (2012) ของเขาแค่ในระดับ A และชอบหนังเรื่อง JULIET’S CHOICE (2010) ของเขาแค่ในระดับA+

BIG TIME (2017, Kaspar Astrup Schröder, Denmark, documentary, A+30)

$
0
0
BIG TIME (2017, Kaspar Astrup Schröder, Denmark, documentary, A+30)

ในหนัง fiction นั้น ผู้เขียนบทมักจะเป็นผู้กำหนดความเป็นความตายของตัวละคร กำหนดความสุขความเศร้าของตัวละครได้ แต่ในหนังสารคดีบางเรื่องนั้น บางทีเราก็คิดว่า “พระเจ้า” หรือ “ชะตากรรม” เป็นผู้เขียนบทหนังสารคดีเรื่องนั้น บางทีพระเจ้าอาจจะมีอิทธิพลมากกว่าผู้กำกับ/ผู้เขียนบทหนังซะอีก

ในครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้ เราได้รู้จักกับ Bjarke Ingels สถาปนิกหนุ่มชื่อดัง ตอนที่เขาอายุได้ 1 ขวบครึ่ง พ่อแม่ของเขาก็ประหลาดใจมากที่เขาดูหนังภาษาต่างประเทศรู้เรื่องหมดเลย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะ และเป็นสถาปนิกที่ประสบความสำเร็จมากๆ เขาได้รับการว่าจ้างให้ร่วมออกแบบตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์บางตึกที่จะสร้างขึ้นใหม่ด้วย

แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง Bjarke ก็มีอาการปวดหัว หมอตรวจพบว่าเขามีเนื้องอกในสมอง และอาจจะต้องเจาะกะโหลกเพื่อผ่าเอามันออกมา และเขาอาจจะทำงานได้เพียง 1-2 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ไม่งั้นเขาจะปวดหัวอย่างรุนแรง

เขามีอายุประมาณ 40 ปีตอนที่รู้เรื่องเนื้องอกในสมองนี้ เขาเคยคิดว่าเขายังเหลือเวลาทำงานอีก 40 ปีข้างหน้า แต่ตอนนี้มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ตอนครึ่งแรกของหนัง เรารู้สึกอิจฉาเขามากๆ คนอะไรชีวิตมันจะดีขนาดนี้ ประสบความสำเร็จ เก่งกาจได้ขนาดนี้ แต่พอหนังเข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง เราก็บอกตัวเองว่า แค่วันนี้เรา “ไม่ปวดหัว” มันก็บุญมากๆแล้วล่ะ


เราค้นพบแล้วว่า หนังหลายๆเรื่องที่เราชอบสุดๆ มันคือหนังที่ดูจบแล้วเราบอกกับตัวเองว่า “นี่แหละชีวิต” และนี่ก็เป็นหนึ่งในหนังกลุ่มนี้ คือดูจบแล้วเราก็บอกกับตัวเองว่า “นี่แหละชีวิต” 

BLOOD OF MY BLOOD (2011, João Canijo, Portugal, A+30)

$
0
0
BLOOD OF MY BLOOD (2011, João Canijo, Portugal, A+30)

1.รู้สึกเหมือนมันเป็นส่วนผสมระหว่าง Mike Leigh กับ Brillante Mendoza และเราไม่ชอบส่วนที่เป็น Mendoza ของหนัง 555

หนังนำเสนอชีวิตครอบครัวคนจนครอบครัวหนึ่งในโปรตุเกส เราชอบช่วงครึ่งแรกของหนังมากๆ มันทำให้นึกถึงหนังของMike Leigh อย่าง ABIGAIL’S PARTY (1977) และ MEANTIME (1984) ที่นำเสนอชีวิตคนจนหรือชนชั้นกลางระดับล่างได้สมจริงและน่าติดตามมากๆ

แต่ช่วงครึ่งหลังของ BLOOD OF MY BLOOD หนังมันหันไปใช้พล็อตแบบ melodrama น่ะ ถึงแม้ว่าวิธีการถ่ายและการแสดงมันยังเน้นความ realistic อยู่ แต่เหตุการณ์ในหนังมันจะมีความ “แรงๆ” หรือมีการสร้างผลกระทบทางอารมณ์ที่ชัดเจน ซึ่งมันทำให้นึกถึงหนังของ Brillante Mendoza คือเราไม่ค่อยชอบหนังของ Mendoza ในด้านการจงใจสร้างผลกระทบทางอารมณ์บางอย่างน่ะ คือหนังของ Mendoza จะไม่เร้าอารมณ์แบบหนังฮอลลีวู้ด แต่เราจับได้ว่ามันมีการจงใจสร้างอารมณ์ด้วยวิธีการที่เนียนกว่า และเราจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับหนังของเขาตรงจุดนี้ (แต่ก็ชอบหนังของเขามากในระดับนึงนะ) เราก็เลยแอบเสียดาย BLOOD OF MY BLOOD ตรงจุดนี้ คือหนังมันขึ้นต้นเป็น Mike Leigh แต่ลงเอยเป็น Brillante Mendoza

2.ฉากที่ชอบที่สุดในหนังคือฉากคาราโอเกะ คือมึงคิดมาได้ยังไง กูยกให้เป็นหนึ่งในฉากที่ทำให้เราหัวเราะหนักที่สุดในชีวิตไปเลย คือในหนังเรื่องนี้จะมีตัวละคร “น้าสาว” คนนึงที่หาผัวไม่ได้ และพยายามเสยหีใส่หนุ่มล่ำในผับ ตัวน้าสาวนี้มีเพื่อนหญิงคนนึงที่ไปเที่ยวผับด้วยกัน และเพื่อนหญิงคนนี้ขึ้นไปร้องคาราโอเกะเพลง UP WHERE WE BELONG แต่ร้องได้เหี้ยมาก คือจริงๆแล้วตัวละครตัวนี้แทบไม่ได้ร้อง เพราะการร้องเพลงของเธอคือการ “อ่าน” เนื้อเพลงไปเรื่อยๆ คือเป็นการอ่านแบบเก๋ๆคลอไปกับทำนองเพลงน่ะ

คือในฉากนี้เราจะเห็นตัวละครน้าสาวพยายามเสยหีใส่ผู้ชายไปเรื่อยๆ แต่จะได้ยินเสียงตัวละครอีกตัวร้องคาราโอเกะเพลง UP WHERE WE BELONG ด้วยการอ่านเนื้อเพลงแบบเก๋ๆตั้งแต่ต้นจนจบเพลง แล้วมันก็เลยฮาสุดๆสำหรับเรา คือมึงไม่ต้องคิดมุกตลกอะไรอีกต่อไป แค่มึงให้ตัวละคร “อ่านเนื้อเพลง” แทนที่จะ “ร้องเพลง” แค่นี้มันก็เกิดความพิลึกพิลั่นน่าขันที่สุดแล้ว

3.ขำ “เสียงประกอบ” ในหนังมากๆ คือ 80% ของหนังจะเป็นฉากในบ้านครอบครัวนี้ แล้วเราจะได้ยินเสียงคนบ้านข้างๆด่ากันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่หนังไม่ขึ้น subtitle ให้เรารู้ว่าตัวละครบ้านข้างๆมันด่ากันเรื่องอะไรตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เรารู้แค่ว่ากลุ่มตัวละครเอกต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนี้นี่แหละ คือได้ยินเสียงคนด่ากันอย่างรุนแรงตลอด 24 ชั่วโมง 555

4.เราว่าหนังออกแบบเฟรมเก๋ดี คือในบางฉากกล้องจะอยู่ตรงกลางระหว่างสองห้อง แล้วเราจะเห็นเหตุการณ์ในสองห้องพร้อมกัน

5.ชอบตัวประกอบชิบหายๆในหนังด้วย คือกลุ่มตัวละครหลักนี่ก็ชิบหายกันทุกตัว แล้วหนังยังชอบมีตัวประกอบชิบหายๆที่โผล่มาแค่หนึ่งนาที แต่ก็สร้างความประทับใจอย่างมาก

อย่างเช่นในฉากหนึ่งที่ตัวละครหลักสองตัวคุยกันในร้านอาหาร แต่กล้องจะถ่ายให้เห็นว่ามีเลสเบียนสองคนในร้านอาหารที่ทำหน้าทำตา ทำปฏิกิริยาอะไรกันอย่างน่าสนใจด้วย คือเลสเบียนสองคนนี้ไม่มีบทบาทอะไรอีกเลยในเรื่องนี้ พวกเธอเป็นเพียงแค่คนสองคนที่อยู่ในร้านอาหารเดียวกันกับตัวละครเอกเท่านั้น แต่พวกเธอกลับดึงดูดความสนใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก และผู้กำกับก็จงใจให้เป็นเช่นนั้นด้วย


6.ดูจบแล้วทำให้รู้สึกชอบหนังอย่าง MISSING JOHNNY มากขึ้น คือเราว่าข้อเสียนิดนึงของ BLOOD OF MY BLOOD คือการใส่พล็อตแบบ melodrama เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของเรื่องน่ะ เหมือนกับผู้สร้างกลัวว่าเนื้อเรื่องมันจะ “ล่องลอย” เกินไป หรือกลัวว่าชีวิตตัวละครมันจะเบาเกินไป หรือกลัวว่าชีวิตตัวละครมันจะขาดความดราม่า แต่หนังอย่าง MISSING JOHNNY กลับแสดงให้เห็นว่า เราไม่เห็นต้องยัด “เนื้อเรื่องหนักๆ” เข้าไปในหนังโดยไม่จำเป็นเลย คือมันมีความหนักใน MISSING JOHNNY อย่างเช่นฉากงานเลี้ยงวันเกิด แต่หนังไม่ได้ไปจมจ่อมอยู่กับมันมากเกินไป  MISSING JOHNNY ก็เลยรักษาโทนของตัวเองไว้ได้ดีจนจบเรื่อง

TAIWAN FILM FESTIVAL 2018

$
0
0
TAIWAN FILM FESTIVAL 2018

in roughly preferential order

1.A BRIGHTER SUMMER DAY (1991, Edward Yang, Taiwan, second viewing, A+30)

2.HANG IN THERE, KIDS! (2016, Laha Mebow,Taiwan, A+30)

3.MISSING JOHNNY (2017, Xi Huang, Taiwan, A+30) 

4.A FISH OUT OF WATER (2017, Lai Kuo-an, Taiwan, A+30)

5.WHITE ANT (2016, Chu Hsien-Che, Taiwan, A+30)

6.THE LAUNDRYMAN (2015, Chung Lee, Taiwan, A+30)

7.ODE TO TIME (2016, Hou Chi-jan, Taiwan, documentary, A+25)

8.GODSPEED (2016, Chung Mong-Hong, Taiwan, A+10)

จริงๆแล้วอันดับ 2, 3, 4 ชอบเท่าๆกัน ตัดสินไม่ได้ว่าชอบหนังเรื่องไหนมากกว่ากัน MISSING JOHNNY ดูจะเป็นหนังที่ดีที่สุดในสามเรื่องนี้ และน่าจะเป็นหนังที่เข้าทางเรามากที่สุด “ในทางทฤษฎี” (เพราะปกติแล้วเราจะชอบหนังแบบ slice of life แบบนี้) แต่ “ในทางปฏิบัติ” แล้ว เรากลับรู้สึกอิ่มเอมกับ HANG IN THERE, KIDS! มากๆ เราก็เลยยกให้มันอยู่อันดับสองไปก่อน ส่วน A FISH OUT OF WATER ก็เป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจมากๆไปกับชะตากรรมของตัวละคร คือเหมือน MISSING JOHNNY ทำให้เราประทับใจกับ “วิธีการนำเสนอชีวิตตัวละคร” แต่ A FISH OUT OF WATER ทำให้เราประทับใจกับ “ชีวิตตัวละคร” น่ะ MISSING JOHNNY เป็นเรื่องของ approach ส่วน  A FISH OUT OF WATER เป็นเรื่องของ story


แน่นอนว่าพอเวลาผ่านไปอีกหลายเดือน เราถึงจะรู้แน่ชัดว่าหนังเรื่องไหนอยู่กับเรานานที่สุด บางทีพอถึงปลายปี หนังที่เราคิดถึงบ่อยที่สุดอาจจะเป็น THE LAUNDRYMAN ก็ได้

FAVOURITE VIDEO INSTALLATIONS 2017

$
0
0
FAVOURITE VIDEO INSTALLATIONS 2017
                                                                            
1.AMERICAN BOYFRIEND: THE OCEAN VIEW RESORT (2013, Miyagi Futoshi, Japan)

2.SCREEN GREEN (2015, Ho Rui An, Singapore)

3.246247596248914102516...AND THEN THERE WERE NONE (2017, Arin Rungjang)

4.BLUE STONE (2017, Tanatchai Bandasak)           

5.MY MOTHER’S GARDEN (2007, Apichatpong Weerasethakul)

6.KRIS PROJECT II: IF THE PARTY GOES ON (2016, Au Sow-Yee, Malaysia)

7.DAY BY DAY (2014-2015, Nguyen Thi Thanh Mai, Vietnam/Cambodia)

8.SHEEP (2017, Samak Kosem)

9.EXPANDED CINEMA PERFORMANCE BY ARNONT NONGYAO

10.GUNKANJIMA (2010, Louidgi Beltrame, Japan)

11.TROUBLE IN PARADISE (2017, Taiki Sakpisit)

12.AM I A HOUSE? (2005, Erwin Wurm)

13.WHEN NEED MOVES THE EARTH (2014, Sutthirat Supaparinya)

14.PROVISORY OBJECT 03 (2004, Edith Dekyndt)

15.KIRATI’S (MOVING) IMAGE (2017, Chulayarnnon Siriphol)

16.I AM LOOKING FOR SOMETHING TO BELIEVE IN (2007, Elisa Pône)

17.BEYOND GEOGRAPHY (2012, Li Ran, China)

18.D’APRÈS CASPAR DAVID FRIEDRICH (2006, Sarkis)

19.59 POSITIONS (1992, Erwin Wurm)


20.FEROCITY (2017, Narasit Kaesaprasit)

FAVOURITE ANIMATIONS 2017

$
0
0
FAVOURITE ANIMATIONS 2017
            
1.IN THIS CORNER OF THE WORLD (2016, Sunao Katabuchi, Japan)

2.BOY AND THE WORLD (2013, Alê Abreu, Brazil)           

3.COCO (2017, Lee Unkrich)

4.JOLLY DOLL SHOP (2017, Natthapa Chansamakrณัฐภา จันทร์สมัคร, 4min)

5.SAUSAGE PARTY (2016, Greg Tiernan, Conrad Vernon)

6.THE RED TURTLE (2016, Michael Dudok de Wit, France/Belgium/Japan)

7.AND THE MOON STANDS STILL (2017, Yulia Ruditskaya, Belarus/Germany/USA, 11min)

8.WHATEVER THE WEATHER (2016, Remo Scherrer, Switzerland, 11min)

9.THE BLUE BABY (2017, Pasut Thanawuthwasinพศุตม์ ธนาวุฒิวศิน, 15min)

10.THE MAN WHO JAILED (2017, Patr Tekittipongภัทร เตกิตติพงษ์, 5min)

11.MY LIFE AS A ZUCCHINI (2016, Claude Barras, Switzerland/France)

12.A SILENT VOICE (2016, Naoko Yamada, Japan)

13.SHINE (2017, Kraisit Bhokasawat ไกรสิทธิ์ โภคสวัสดิ์, 2min)

14.LA ÚLTIMA CENA (2014, Vanessa Quintanilla Cobo, Mexico, 10min)

 15.THE REASONS OF TEARS [เหตุผลของน้ำตา](2017, Patcharee Iampiboonwattanaพัชรี เอี่ยมพิบูลย์วัฒนา, 4min)

16.THE TEACHER AND THE FLOWER [EL MAESTRO Y LA FLOR] (2014, Daniel Irabien, Mexico, 9min)

17.SLEEPLESS DREAM [ณ ภวังค์] (2016, Pinpamon Chirattikanpun ปิ่นปมน  จิรัฐิติกาลพันธุ์, 6min)

18.LOUISE BY THE SHORE (2016, Jean-François Laguionie, France)

19.THE LEGO BATMAN MOVIE (2017, Chris McKay, USA/Denmark)

20.ONCE UPON A THREAD [FOI O FIO] (2014, Patricia Figueiredo, Portugal, 5min)

21.Q (2016, James Bascara, 4min)

22.KUROKO’S BASKETBALL: LAST GAME (2017, Shunsuke Tada, Japan)

23.THE OGRE (2017, Laurène Braibant, France, 10min)

24.DETECTIVE CONAN: CRIMSON LOVE LETTER (2017, Kobun Shizuno, Japan)


25.FIREWORKS (2017, Akiyuki Shinbo, Nobuyuki Takeuchi, Japan)

FAVOURITE FOREIGN SHORT FILMS 2017

$
0
0
FAVOURITE FOREIGN SHORT FILMS 2017
(excluding documentaries and animations)

1.AND THEN THERE WERE NONE (2016, Yeon Jeong, South Korea, 30-minute excerpt from the original 63-minute video)

2.IF YOU LEAVE (2016, Dodo Dayao, Philippines)

3.DRAFTS [NHÁP] (2017, Nah Fan, Vietnam)

4.THREE ENCHANTMENTS (2016, Jon Lazam, Philippines)

5.A NICE PLACE TO LEAVE (2016, Maya Connors, Germany)

6.TEN YEARS: SEASON OF THE END (2015, Wong Fei-Pang, Hong Kong)

7.EXIT (2016, David King, Australia)       

8.THE TURBULENCE OF SEA AND BLOOD (2017, Sarah Abu Abdallah)

9.FOURTEEN DEGREES CELSIUS, A HUNDRED MILES PER HOUR (2015, Nyi Lynn Htet, Myanmar)

10.MAWTIN JETTY (2015, Ten Men, Myanmar)

11.THE PROVISIONAL DEATH OF BEES (2016, Maryam Firuzi, Iran)

12.OH WHAT A WONDERFUL FEELING (2016, François Jaros, Canada)

13.WHEN YOU AWAKE (2016, Jay Rosenblatt)

14.PORT (2016, Hiroshi Sunairi)

15.CARGA (2017, Luís Campos, Portugal)

16.SHADOWS (2015, Scott Barley, UK)

17.CHAN KEO (2017, Sonepasith Phonphila, Laos)

18.FATIMA MARIE TORRES AND THE INVASION OF SPACE SHUTTLE PINAS 25 (2016, Carlo Manatad, Philippines)

19.PUERTO RICO TAUTOLOGY (2016, Rob Fuelner, Canada)

20.PIRACY (2017, Jon Lazam, Philippines)

21.ILLE LACRIMAS (2014, Scott Barley, UK) 

22.MAO SHAN WANG (2016, Khym Fong, Singapore)

23.STRNG PLCE (2016, Chloe Yap Mun Ee, Malaysia)

24.THE HAUNTED HOUSE (1907, Segundo de Chomón, France)      

25.CONTACT (2017, Cao Tran Viet Son, Vietnam)

26.FANTASMATA (2015, Dimension Émotionnelle, France)

27.LIKE UMBRELLA, LIKE KING (2015, Moe Satt, Myanmar)

28.NA WEWE (2010, Ivan Goldschmidt, Belgium)

29.FLOWERS IN THE WALL (2016, Eden Junjung, Indonesia)   

30.JAMAIS-VU (2016, Werner Biedermann, Germany)

31.HOW TO BE YOUR SELF (CHAPTER 01 – I EXPERIENCE REAL LIFE) (2008, Baptist Coelho)

32.JANUS COLLAPSE (2016, Adham Faramawy)

33.COPS (1922, Edward F. Cline, Buster Keaton)

34.OVERLOVE (2017, Lucas Helth, Denmark)

35.PANTHÉON DISCOUNT (2016, Stéphan Castang, France)

36.TROPICAL SIESTA (2017, Phan Thao Nguyen, Vietnam)

37.ANCHORAGE PROHIBITED (2015, Chiang Wei Liang, Singapore)

38.FALLING IN LOVE AGAIN (2016, Jacky Yeap, Malaysia)

39.ASCENSION (2016, Pedro Peralta, Portugal)


40.THE FEAR INSTALLATION (2016, Ricardo Leite, Portugal)

THE ADVENTURES OF PANDA AND FRIENDS (1972, Isao Takahata, Japan, animation, A+30)

$
0
0
THE ADVENTURES OF PANDA AND FRIENDS (1972, Isao Takahata, Japan, animation, A+30)

ชอบความเพี้ยนบางอย่างของมัน ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจให้ subversive หรือเปล่า อย่างเช่น การที่นางเอกอยากให้มีโจรบุกบ้าน หรือดีใจเมื่อคิดว่ามีโจรบุกบ้าน คือมันเป็นตรรกะที่ตรงข้ามกับโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ และเราก็รู้สึกว่าอะไรแบบนี้มันน่าสนใจดี เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากจินตนาการของเรา

หรือความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับหมีพ่อและหมีลูกชาย คือนางเอกทำเหมือนกับว่าหมีลูกชายคือลูกของตัวเอง แต่ทำเหมือนกับว่าหมีพ่อคือพ่อของตัวเอง แล้วตกลงนางเอกเป็นอะไร คือเธอเหมือนเป็นทั้งเมียและลูกสาวของหมีพ่อ และเป็นทั้งแม่และพี่สาวของหมีลูก มันดูเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่อยู่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ของมนุษย์ดี ซึ่งเราจะชอบอะไรแบบนี้มากๆ เพราะเวลาเราเห็นนักศึกษาหนุ่มๆบางคน ที่มีอายุอ่อนกว่าเรา 20 ปี เราก็รู้สึกว่าบางคนเหมาะจะเป็นลูกชายของเราและเป็นผัวของเราในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์แบบ “งงๆ” ในหนังการ์ตูนเรื่องนี้ บางทีมันอาจจะตอบสนองจิตใต้สำนึกของผู้ชมที่ขัดกับหลักศีลธรรมจรรยาของสังคมก็ได้ 555

ชอบฉากรถไฟใต้น้ำในหนังมากๆ


JOSHIKO (2016, Koki Yamamoto, Japan, A+25)

$
0
0
JOSHIKO (2016, Koki Yamamoto, Japan, A+25)

1.ต่ำมากกกกกกกก แต่ชอบมาก คือดูจบแล้วรู้สึกว่า ถ้าหากเราเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ เราจะสั่งให้เพิ่มฉากใหม่เข้าไปในตอนจบของหนัง คือตอนจบที่ถูกต้องของหนัง ควรจะเป็นฉากกะเทยสาวนางหนึ่งตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าเรื่องทุกอย่างก่อนหน้านี้คือความฝันของกะเทยคนนึงหลังจากอ่านนิยายของ Agatha Christie และดูหนังเรื่อง
THE REUNION (2013, Anna Odell, Sweden)

คือเราว่าหนังเรื่องนี้เลือก genre ผิดน่ะ คือมันเลือก genre หนังแนว murder mystery ซึ่งมันเป็น genre ที่ต้องอาศัยเหตุผลและความน่าเชื่อถือพอสมควร แต่พอดูไปดูมาแล้วเราว่าหลายอย่างในหนังเรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อถือมากๆ คือหลายๆฉากมันให้ “อารมณ์” หรือ “รสชาติ” ที่เราต้องการ แต่พอเอาฉากเหล่านี้มาร้อยเรียงเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วมันเหี้ยมากน่ะ และเราว่าวิธีการเดียวที่สามารถจะเอาฉากเหล่านี้มาร้อยเรียงเข้าด้วยกันได้ก็คือต้องอธิบายว่า “ทุกอย่างคือตัวละครฝันไป” โดยได้รับแรงบันดาลใจจากอะไรบางอย่างน่ะ 555 คือถ้าตอนจบเป็นตัวละครฝันไปนี่ อะไรทุกอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลในหนังจะอธิบายได้ในทันที เพราะทุกอย่างเป็นความฝัน 555

2.ปัญหาที่เรามีกับหนังเรื่องนี้คือปัญหาเดียวกับที่เรามีกับหนังไทยเรื่อง “อย่าบอกใครว่าเราเขียน” (Chanatip Thongaoy and friends, 47min, A+) และหนังสั้นไทยบางเรื่องที่เป็นแนว murder mystery น่ะ คือถ้าจะทำหนัง genre นี้จริงๆ มันต้องอาศัยตรรกะ, เหตุผล และความน่าเชื่อถือพอสมควร ซึ่งมันจะแตกต่างจากหนังแนวอื่นๆที่ไม่ต้องพึ่งพาอะไรพวกนี้มากนักก็ได้ โดยเฉพาะหนังแนวกวีหรือหนังทดลองที่ไม่ต้องพึ่งพาเหตุผลมากนัก

คือเราคิดว่า หนังแนว murder mystery ในแง่นึง มันเหมือนกับโจทย์คณิตศาสตร์น่ะ มันเหมือนกับว่าคุณให้โจทย์มา แล้วให้เราหาค่า x หรือหาว่าใครคือฆาตกร ซึ่งหนังแนวนี้ที่ดี พอคุณเฉลย ค่า x แล้ว สมการที่คุณให้มาตั้งแต่แรกมันจะเป๊ะ ถูกต้องลงตัว แต่ถ้าเป็นหนังที่ไม่ดี พอคุณเฉลยแล้ว สมการมันจะไม่ลงตัว หรือหลายอย่างในสมการมันกลายเป็นอะไรที่แถมากๆ ซึ่งมันจะแตกต่างจากหนังแนวอื่นๆ คือหนังแนวอื่นๆมันไม่ใช่สมการคณิตศาสตร์น่ะ หนังบางเรื่องอาจจะเหมือนกับประโยคแบบ “หัวเราะ 5 ที หีห้าระบบ” อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นประโยคที่เพื่อนเราเคยพูดออกมา แล้วเราชอบมาก ทั้งๆที่มันไม่สามารถเชื่อมกันได้ด้วยเหตุผล เพราะความไม่มีเหตุผลอาจจะเป็นคุณค่าที่แท้จริงของประโยคแบบนี้

3.คือพอดูหนังเรื่องนี้แล้ว เราคิดว่าเราชอบอารมณ์หลายๆอย่างมากน่ะ ทั้งอารมณ์ความผูกพันกับเพื่อนมัธยม, ความ nostalgia ถึงความสนุกของชีวิตสมัยมัธยม, อารมณ์เชือดเฉือนกันระหว่างผู้หญิง การตบตี ด่าทอกัน เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้ในระดับเกือบสุดๆน่ะ ทั้งๆที่หนังมันแย่มาก คือจริงๆแล้วเราว่าผู้กำกับควรหันไปทำหนังแนว Alain Robbe-Grillet จะดีกว่า เพราะหนังแนว Alain Robbe-Grillet จะเต็มไปด้วย “ฉากที่น่าประทับใจ” เรียงร้อยต่อกันไป แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมกันด้วยเหตุผล เพราะเกือบทุกฉากในหนังของ Alain Robbe-Grillet มันบอกเรากลายๆว่า “สิ่งที่คุณเห็นอาจจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้” คือในหนังทดลองแบบนี้ เราสามารถใส่ซีนที่เราต้องการ และนำเสนออารมณ์ที่เราต้องการได้อย่างเป็นอิสระกว่าเยอะ เพราะมันไม่ใช่โลกแห่งความจริง

4.จริงๆแล้วช่วง 30 นาทีแรกของ JOSHIKO นี่ เรานึกว่าหนังเรื่องนี้จะติดอันดับหนึ่งประจำปีของเราเลยนะ เพราะมันเข้าทางเราอย่างสุดๆ เรื่องของสาวๆที่มีบุคลิกแตกต่างกันไปมาปะทะกันในโรงเรียนมัธยม คือถ้าหากเราจะแต่งนิยาย เราก็อยากใช้ setting แบบนี้นี่แหละ

แต่พอผ่าน 30 นาทีแรกไป เราก็เริ่มเห็นแววเหี้ยของหนัง 555 คือมันเป็นหนังแนว murder mystery ไง เพราะฉะนั้นหนังก็เลยพยายามทำให้ตัวละครหลายๆตัวกลายเป็นผู้ต้องสงสัย แล้วหนังใช้วิธีการยังไงเหรอคะ หนังก็เลยอธิบายว่าในอดีตนั้น “เหยื่อฆาตกรรม” เคยทำเหี้ยกับมิสเอ, มิสบี, มิสซี, มิสดี ยังไงบ้าง เพื่อที่มิสต่างๆเหล่านี้จะได้ตกเป็น “ผู้ต้องสงสัย” ในสายตาคนดู ซึ่งพอเราดูไปเรื่อยๆแล้ว เราก็รู้สึกว่า อีเหยื่อฆาตกรรมนี่มันไม่ใช่มนุษย์จริงๆแล้วน่ะ หรือมันเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติจากคนธรรมดามากน่ะ มันถึงได้ทำเหี้ยกับคนอื่นๆได้แบบนี้ คือพอดูถึงจุดนี้ เราก็รู้สึกว่าตัวละครในหนังมันห่างไกลจากคนจริงๆมากแล้วน่ะ และทุกอย่างที่มันทำไปก็เพื่อรับใช้องค์ประกอบของ genre หนังแบบนี้เท่านั้น เราก็เลยเสียใจที่หนังมันแย่มากในแง่นี้

อีกจุดที่แย่มาก คือตัวละครชื่อ Yazawa ซึ่งเป็นสาวที่ชั่วช้าสารเลว ทำเหี้ยกับตัวละครมากมายในเรื่อง แต่ไม่เคยต้องรับผลอะไรจากที่ตัวเองทำเลย มันก็เลยเหมือนกับว่า ตัวละครตัวนี้ก็ไม่ใช่คนจริงๆเช่นกัน แต่เป็น “เครื่องมือทางบท” แบบแถมากๆ

คือถ้าทำเป็นหนังแนว Alain Robbe-Grillet อะไรที่ว่ามานี้จะหมดปัญหาไปในทันที เพราะในหนังของ Robbe-Grillet มันก็ “ไม่มีมนุษย์จริงๆ” มันมีแต่นางแบบนายแบบโพสท่าไปเรื่อยๆตลอดทั้งเรื่อง แต่มันทรงพลังมากๆ เพราะมันไม่ถูกถ่วงด้วยเนื้อเรื่องและตรรกะแบบหนังเรื่องนี้น่ะ

5.สรุปว่า ชอบ “รสชาติ” ของหนังเรื่องนี้มากๆ แต่ผู้กำกับทำหนังผิด genre ค่ะ



IN MY HOMETOWN (2017, Worrawut Lakchai, A+25)

$
0
0
IN MY HOMETOWN ฮักมั่น (2017, Worrawut Lakchai, A+25)     

1.ในขณะที่ ไทบ้านเดอะซีรีส์อาจจะตอบสนองแฟนตาซีของผู้ชายบางคน ฮักมั่นก็ตอบสนองแฟนตาซีของเรา ในส่วนของเส้นเรื่องเด็กมัธยม เราก็เลยชอบหนังตรงจุดนี้มากๆ เพราะเราอยากได้ทั้งหนุ่มลาวและหนุ่มไทยในหนังเรื่องนี้ 555

เราชอบมากๆด้วยที่นางเอกวัยมัธยมมีหนุ่มๆมาชอบ3 คน คือหนุ่มลาว, หนุ่มไทยเมือง และหนุ่มไทยชนบท และไม่มีใครเป็นคนเลวเลย คือทั้งสามคนเป็นคนดีหมด

คือเราว่าถ้าหนังเลือกเส้นทางแบบโง่ๆ หนังก็คงจะปั้นให้ “หนุ่มไทยในตัวเมือง” เป็นคนเลว หรือเป็นนายอิจฉา อะไรแบบนี้น่ะ แต่พอหนังไม่เลือกเส้นทางโง่ๆแบบนี้ และปล่อยให้ตัวเลือกผู้ชายทั้งสามคนดูมีเสน่ห์หรือความน่าสนใจในแบบของตัวเอง หนังก็เลยเหมือนก้าวข้ามกับดักความต่ำตมตรงจุดนี้มาได้

2.เส้นเรื่องในชนบท เราก็ชอบมากนะ เราชอบมากๆที่ “พระเอก” ของหนัง กลายเป็นฝรั่งจนๆในอีสาน คือในขณะที่หนังอีสานหลายเรื่อง ตัวละครฝรั่งจะมีหน้าที่เป็นตัวประกอบ หรือเป็น “คู่แข่งของพระเอก” หนังเรื่องนี้กลับพลิกสถานะของฝรั่งให้แตกต่างออกไป เราว่าในแง่นึง ตัวละครพระเอกของหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงฝรั่งสแกนดิเนเวียในหนังสารคดีเรื่อง THE LAND OF SMILES (2015, Heikki Häkkinen) ซึ่งเล่าเรื่องจริงของฝรั่งหนุ่มสแกนดิเนเวีย ที่กลายมาเป็นขี้เหล้าเมายาจนๆในชนบทของไทย

เราชอบมากๆด้วยที่ตัวละคร “เพ็ญ” ที่ฝรั่งหลงรัก ดูเป็นคนธรรมดามากๆ

3.แต่เราก็ไม่ได้ชอบหนังแบบสุดๆถึงขั้น A+30นะ คือสำหรับเราแล้ว เรารู้สึกว่า ฮักมั่นเป็นหนังที่ “ละเว้นความชั่ว” ได้หมดแล้ว แต่ยังไม่ได้ “ทำความดีมากพอ” น่ะ 555 คือเรารู้สึกว่า ฮักมั่น “หลีกเลี่ยงกับดักหลุมพรางความต่ำตม” ได้หมดแล้ว หรือสามารถหลีกเลี่ยงพล็อตเรื่องหรือเส้นเรื่องแบบที่เราเกลียดได้หมดแล้ว (ตัวอย่างของหนังที่สอบตกในจุดนี้ ก็มีเช่น สมภัคเสี่ยน และ อ้อมกอดเขมราฐ) แต่หนังยังไม่สามารถสร้างความสะเทือนใจหรือประทับใจได้มากพอน่ะ เหมือนหนังไม่เก่งในการ “ขยี้อารมณ์” หรือลง details รายละเอียดทางอารมณ์

ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า “ฮักมั่น” เป็นเหมือนภาพวาดที่มีลายเส้นสวยดีในสายตาของเราน่ะ แต่ยัง “ลงสี” ได้ไม่สวยสะใจเรา เหมือนหนังคุมตัวเองไม่ให้หลงทางผิดได้ดีแล้ว ร่างเค้าโครงของสิ่งต่างๆในภาพได้ดีแล้ว แต่พอถึงขั้นตอนการระบายสี หนังยังเลือกสีได้ไม่สวยถูกใจเราเท่าไหร่

ในแง่นึง เรารู้สึกว่า “ฮักมั่น” มันเหมือนยังหาที่ทางที่ลงตัวของตัวเองไม่ได้ด้วยแหละ คือมันไม่สามารถสร้าง “ความบันเทิง” ให้ผู้ชมได้มากเท่ากับหนังอย่าง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” หรือ “ไทบ้านเดอะซีรีส์” และมันก็ไม่สามารถสร้างความประทับใจในแบบหนังอาร์ตเหมือนอย่าง “วังพิกุล” ได้ด้วย หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นหนังที่ “น่ารักดี” ในสายตาของเรา แต่ไม่ใช่หนังที่ทำให้เรารู้สึกรุนแรงอะไรกับมัน

MEMORY OF THE BLIND ELEPHANT (2016, Phuong Linh Nguyen, Vietnam, video installation, A+25)

ดูที่ชั้น 4 BACC

ดูแล้วสงสัยว่า ถ้าหากคนเวียดนามมาดูแล้วจะเข้าใจอะไรมากกว่าเราเยอะหรือเปล่า คือวิดีโอนี้ประกอบไปด้วยฉากวิวทิวทัศน์อะไรต่างๆมากมาย ซึ่งไม่ได้มีอะไรกระทบความรู้สึกเรามากเป็นพิเศษ แต่ตัวนิทรรศการนี้มันเหมือนจะพูดถึง blind spots ในประวัติศาสตร์เวียดนาม เราก็เลยสงสัยว่า ฉากแต่ละฉากที่ดูเหมือนไม่มีอะไรในสายตาของเรานี้ จริงๆแล้วมันมีความหมายพิเศษสำหรับคนเวียดนามหรือเปล่า

ENDLESS, SIGHTLESS (2018, Phuong Linh Nguyen, Vietnam, video installation, A+30)

ดูที่ชั้น 4 BACC สุดฤทธิ์มากๆ เราชอบที่ในวิดีโอนี้เราจะเห็นสิ่งต่างๆเพียงรางๆเท่านั้นท่ามกลางแสงสีขาว คือมันตรงข้ามกับหนังของ Scott Barley,Enzo Cillo, Teeranit Siangsanoh, Chaloemkiat Saeyong, Tanatchai Bandasak ที่สิ่งต่างๆจะปรากฏเพียงรางๆท่ามกลางความมืดมนอนธการน่ะ คือหนังหลายเรื่องที่เราชอบมาก มันจะเน้น “ถ่ายอะไรมืดๆ” แต่วิดีโอนี้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ “ถ่ายฉากสีขาวสว่างจ้า” แต่มันก็ทำให้เห็นอะไรได้เพียงรางๆเหมือนกัน และสร้างอารมณ์ที่พิศวงหลอกหลอนได้ถึงขีดสุดเหมือนๆกัน

หนังที่ได้ดูครั้งแรกในงาน BANGKOK DESIGN WEEK

1.AS FAR AS  I CAN TELL (Jirat Sompakdee, 30min, A+25)  
หนังเลือกโลเกชั่นได้น่าสนใจมากๆ อยากรู้จังเลยว่าถ่ายที่ไหน ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นทางเดินยกระดับที่ทอดออกไปเหนือท้องทุ่งน่ะ

การที่หนังถ่ายแต่ “ด้านหลัง” ของตัวละครตลอดทั้งเรื่อง ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจดี ในแง่นึงมันช่วยให้ไม่ต้องใช้ “นักแสดงที่เก่งจริง” มาแสดงก็ได้ และเราก็พบว่าเราไม่เบื่อเลยนะ ถึงแม้เราจะไม่เห็นหน้าตัวละครตลอดทั้งเรื่องก็ตาม

ดูแล้วแอบตีความว่า ทางเดินในหนังเรื่องนี้ มันก็คล้ายกับความสัมพันธ์ของคู่รักในเรื่องน่ะ มันเป็นทางเดินที่ทอดไปยัง “ที่พักผ่อนหย่อนใจเพียงชั่วครู่ชั่วยาม” เท่านั้น มันไม่ได้นำไปสู่ “บ้าน” หรือสถานที่อะไรที่เราจะอยู่ได้ถาวร ความสัมพันธ์ของคู่รักในเรื่องก็เลยเหมือนการเดินไปยังสถานที่รื่นรมย์ที่เราจะอยู่ได้อย่างมากก็เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็ต้องเดินกลับออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

แก้วน้ำที่ทิ้งลงไปในท้องทุ่งในหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เรานึกถึง “รอยด่างพร้อย” ในความทรงจำด้วย คือเรารู้สึกว่าเมื่อเวลาผ่านไป เวลาตัวละครในหนังย้อนนึกไปถึงความสัมพันธ์ในอดีต พวกเขาก็จะไม่ได้นึกถึงแต่ “ความรื่นรมย์” เท่านั้น แต่เหมือนมีรอยด่างพร้อยอยู่ในความรื่นรมย์นั้นด้วย

สรุปว่าเป็นหนังที่ “ออกแบบ” มาดีมากนะ เราอาจจะไม่ได้รู้สึกสุดขีดกับมัน แต่ก็ enjoy มันมากพอสมควร

2.BANGKOK FAIRIES (2017, Khaohom Charoenchai, A-)

เดาว่าเป็นหนังที่นิสิตทำส่งวิชา production design หรือเปล่า

ไม่แน่ใจในจุดยืนทางการเมืองของหนัง คือหนังนำเสนอแต่ตัวละครที่ “เรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง” น่ะ เราก็เลยรู้สึกว่า เราและความเจ็บปวดของเราไม่ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้

REFLECTIONS

$
0
0
REFLECTIONS (2016)

1.DEAD HORSE (Brillante Mendoza, Philippines, งดแสดงความเห็น เพราะหนังฉายเร็วไปสิบนาที + หลับ)

2.PIGEON (Isao Yukisada, Japan/Malaysia, C+)  

3.BEYOND THE BRIDGE (Kulikar Sotho, Cambodia, A+30)
เราเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่อินกับหนังส่วนนี้อย่างสุดๆ 555 เหมือน wavelength ของเราจะจูนติดกับผู้กำกับคนนี้อย่างรุนแรงมากๆ ตั้งแต่หนังเรื่อง THE LAST REEL (2014) แล้ว เพราะหนังของเขาชอบพูดถึง “corrosive power of  memory” ซึ่งเป็นประเด็นที่เราอินมากๆ และเป็นประเด็นที่มักพบในหนังของ Alain Resnais เหมือนกัน

เราอินตั้งแต่ฉาก “ผู้หญิงร่ายรำใส่ผู้ชาย” แล้ว 555 คือเป็นฉากที่ตอบสนองแฟนตาซีของเรามากๆ คือเราอยาก “ร่ายรำ” ใส่ผู้ชายแบบนี้บ้าง

ชอบการใช้ฟุตเตจข่าวเก่ามากๆด้วย เราว่ามันทรงพลังมากและเจ็บปวดมากกว่าการ recreate ซีนเหล่านี้ขึ้นมาใหม่เองน่ะ และเราว่ามันประหยัดงบในการถ่ายทำได้ดีมากด้วยแหละ

ชอบเรื่องการนำเสนอ “รอยแตกร้าว” มากๆเลยด้วย คือตัวละครในหนังเล่าว่ามันมีงานหัตถกรรมบางอย่างของญี่ปุ่นที่ “เน้นทำรอยแตกร้าวให้เด่นชัด” แทนที่จะพยายามปกปิดรอยแตกร้าวแบบแนวคิดทั่วไป คือคนทั่วไปชอบมองว่ารอยแตกร้าวเป็นสิ่งไม่ดี ต้องปกปิด ต้องทำให้มันเลือนหายไป แต่งานหัตถกรรมนี้กลับทำรอยแตกร้าวให้มันเด่นชัดไปเลย ซึ่งเราชอบแนวคิดแบบนี้มากๆ

แต่ก็รู้สึกว่าหนังถ่ายทอด corrosive power of memory ออกมาได้ไม่เต็มที่นะ คือเราว่าถ้าหากมันทำออกมาได้เต็มที่ มันจะไต่ไปได้ถึงหนังสองเรื่องที่เราชอบสุดๆน่ะ ซึ่งก็คือเรื่อง  ROZA (1999, Ramon Swaab, Netherlands) ที่เล่าเรื่องของชายแก่คนนึงที่นั่งรออะไรสักอย่างอยู่ที่สถานีรถไฟทุกวัน และหนังก็เล่าว่า ที่ชายแก่คนนี้ทำแบบนี้ เป็นเพราะว่าเมื่อ 60 ปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มนั้น เขาเคยเห็นเด็กสาวคนรักของเขาถูกจับตัวขึ้นรถไฟไปเข้าค่ายกักกันชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นเขาก็เลยมานั่งรอคนรักของเขาที่สถานีแห่งนี้เป็นประจำ ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 60 ปีแล้ว และถึงแม้เขาจะรู้ดีว่า คนรักของเขาน่าจะถูกฆ่าตายไปนานแล้วก็ตาม

คือเราว่า BEYOND THE BRIDGE มีบางจุดที่พ้องกับ ROZA มากๆ แต่เหมือนมันยังนำเสนอความเจ็บปวดตรงนี้ได้ไม่มากพอ

ส่วนหนังอีกเรื่องที่เรานึกถึงคือ HIROSHIMA MON AMOUR (Alain Resnais) ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของหนุ่มญี่ปุ่นกับสาวฝรั่งเศส และประเด็นที่ว่า “All one can do is to speak of the impossibility of speaking of Hiroshima.”เพราะเราว่าประเด็นเรื่องความเจ็บปวดจากสงครามโลกครั้งที่สองที่ “ไม่มีทางที่จะพูดถึงได้อย่างเพียงพอ” นั้น มันสามารถนำมาใช้กับความเจ็บปวดจากเขมรแดงได้ด้วย คือถ้าหากหนังเรื่องนี้ทำดีๆ มันก็จะเป็น HIROSHIMA MON AMOUR เวอร์ชั่นเขมรแดงได้ คือในขณะที่ Rithy Panh ทำหน้าที่เหมือนเป็น Claude Lanzmann ของกัมพูชาไปแล้ว เราก็อยากให้มีใครสักคนเป็น Alain Resnais ของกัมพูชาเหมือนกัน


แต่ถ้าเทียบกันแล้ว เราว่า BEYOND THE BRIDGE มันยังเป็นได้แค่ “ร้อยแก้ว” น่ะ ในขณะที่ HIROSHIMA MON AMOUR มันเป็นกวีมากๆ
Viewing all 3293 articles
Browse latest View live