Quantcast
Channel: Limitless Cinema
Viewing all 3325 articles
Browse latest View live

Marathon Film Fest on July 25, 2012

$
0
0

X. July 25

 

348.SICKER (2012, Pichaya Jarasboonpracha + Supakorn Krutsorn, 22, A+/A)

SICKER (พิชย จรัสบุญประชา + ศุภกร ครุฑสอน)

 

349. WHEN THE SKY’S COLOR CHANGES (2012, Insree Khampeepunyakul, 25, A-/B+ )

เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี (อินทรีย์ คัมภีร์ปัญญากุล)

 

350. THIS FILM IS INSPIRED BY ANN TONGPRASOM (2012, Tossaphon Riantong, 29.45, A+15)

หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแอน ทองประสม (ทศพร เหรียญทอง)


 

351. FEET MOVIE (2011, Katon Thammavijitdej, 10.57, A+30)

หนังส้น (กตัณณ์ ธรรมวิจิตเดช)

 

352.THE SEAGULL MASK (2012, Kittitach Ruengmalai, 38.18, A-)

หน้ากากนางนวล (กิตติธัช เรืองมาลัย)

 

353. CAT (2012, Sorayos Prapapan, 1, A)

หนูมาลี (สรยศ ประภาพันธ์)

 

354. PIGGY BANK (2012, Cherdpong Laoyont, 29.30, A)

หมูทอง (เชิดพงษ์ เหล่ายนตร์)

 

355. WOOD (2011, Somghad Meyen, 15, A+10)

หลงป่า (สมเจตน์ มีเย็น)


Marathon Film Fest on July 26, 2012

$
0
0

Y. July 26

 

356. KAWAO (2011, Nuttawut Hemtanon 23.47, A-/B+ )

กาเหว่า (ณัฐวุฒิ เหมทานนท์)

 

357. LOVE IMAGINATION (Krittanat Deesawas + Thanaporn Kitja, A+15)

มโนรัก (กฤตณัฐ ดีสวัสดิ์ + ธนาภรณ์ กิจจา)

 

358. SCARY LOVE (2012, Anuruk Cholmunee, 10.11, A-/B+ )

หลอนรัก (อนุรักษ์ ชลมูณี, สตูล)

 

359. EERIE (2011, Sirosos Damjun, 13.57, A+5)

หลับ...หลอน (สิโรรส ดำจันทร์)


 

360. HOPE (2012, Nattha Sirinun, 4.56, animation, A+/A)

หวังสุดท้าย (ณัฏฐา ศิรินันท์)

 

361. RENT ROOM (2011, Daraspong Throngprasit, 16.07, A-)

ห้องเช่า (ดรัสพงศ์ ตรงประสิทธิ์)

 

362.  EMPTY ROOM (2012, Thai Pradithkesorn, 16.16, A+15)

ห้องว่าง (ไท ประดิษฐเกษร)


 

363. CATALYST (2012, Piyabutr Tanapura, animation, 4.11, A+/A)

หัวใจจักรกล (ปิยบุตร ธนะปุระ)

 

364. MY MOTHER FOLK TALE PART 1 (2011, Eakalak Maleetipawan, 21.09, A+30)

หากบุญมีจริง (เอกลักษณ์ มาลีทิพย์วรรณ, ขอนแก่น)

 

365. CHABANG CAPE AND THE REPEATED WAVES OF MISERY (2012, Kunnawut Boonreak, documentary, 16, A-)

แหลมฉบัง คลื่นทุกข์ โถมซ้ำซาก (คุณวุฒิ บุญฤกษ์)

Marathon Film Fest on July 27, 2012

$
0
0

Z. July 27

 

366. LOST (2012, Suphisara Kittikunarak, 25, A+15)

หาย (ศุภิสรา กิตติคุณารักษ์)

 

367. DEVIL CAT (2012, Jiranan Wongsilakij, animation, 4.30, A+/A)

เหมียวซ่าส์ จอมแสบ (จิรนันท์ วงศ์ศิลากิจ, สุพรรณบุรี)

 

368. ABYSS (2012, Nataya Saelai, animation, 4.45, A)

เหว (นาฏยา แซ่ไหล, กาญจนบุรี)

 

369. EVACUATION (2011, Kamol Thamayot, 7.50, A-)

แหววอพยพ (กมล ธรรมยศ)

 

370. HUNGRINESS (2012, Metus Thuesue, 7.22, A-)

โหย (เมธัส ถือซื่อ)

 

371. FORGIVE (2012, Sivatchaya Sivamoke, 13.30, A+30)

อภัย (ศิวัชญา ศิวโมกษ์)

 

372. WANT TO DIE (2012, Boonyanuch Jaisirisuay, 24.30, C-)

อยากตาย (บุณยนุช ใจศิริสวย)

 

373. A DAY BEFORE FLOODED (2011, Siwakorn Tesabumrung, 10.52, A+15)

อยู่ในพื้นที่เฝ้าระวังอุทกภัย (ศิวกร เทศะบำรุง)

 

374. TEA (2011, Somghad Meyen, 7, B- )

อาจารย์ เต้ ตุ่มเปรี๊ยะ (สมเจตน์ มีเย็น)


 

375. TEA PART 2 (2011, Somghad Meyen, 15, B- )

อาจารย์ เต้ ตุ่มเปรี๊ยะ 2 (สมเจตน์ มีเย็น)


 

376. BRING A MOVIE TO NUII (2011, Theeraphat Ngathong, 12.56, A+)

เอาหนังไปให้หนุ่ย (ธีรพัฒน์ งาทอง)


 

377. THE MIRACLE (2011, Pongpol Pongpanich, animation, 2.31, B- )

โอกาสที่ไม่เป็นจริง (ปองพล พงษ์พานิช)

 

378. ITIM (2012, Thanawat Noichanteuk, 7.41, B )

ไอติม (ธนวัตร น้อยจันทึก)

Marathon Film Fest on July 28, 2012

$
0
0

AA. July 28

 

379. FROM ONE REALITY TO OTHER REALITIES (2012, Dusit Neramit-aram, 6.29, A+)

FROM ONE REALITY TO OTHER REALITIES (ดุสิต เนรมิตอร่าม)

 

380. HEADSHOT AND A KARMA BULLET (2012 Norachai Kajchapanont, documentary, 58, A+)

HEADSHOT AND A KARMA BULLET (นรชาย กัจฉปานนท์)

 

381. IRRETRACEABLE (2012, Krit Komkrichwarakool, 5.25, A+/A)

IRRETRACEABLE (กฤษฎิ์ คมกริชวรากุล)

 

382. LATER ON (2012, Nonticha Nonthakanan, 8, A)

LATER ON (นนทิชา นนทกานันท์)

 

383. PRESENT PERFECT (2011, Anusorn Soisa-ngim, 29.24, A+15)

แค่นี้ก็ดีแล้ว (อนุสรณ์ สร้อยสงิม)


 

384. WHITE JASMINE (2011, Ausa Aimsuwan, 7, B- )

มะลิไม่รู้โรย (อุษา เอี่ยมสุวรรณ)

 

385. FRIENDS (2012, Mewika Longrak, 6, A+)

กาวัน (เพื่อน) (เมวิกา หลงรักษ์)

 

386. ALMOST TOO LATE (2012, Sirilak Chaihab, 6.50, A+)

เกือบจะสาย (ศิริลักษณ์ ชัยหาบ)

 

387. A BELT AND A COMB (2012, Suthit Saja, 10, A+10)

เข็มขัดกับหวี (สุทิตย์ ซาจ๊ะ, เชียงใหม่)

 

388. EAR ITCH (2011, Asawadol Kmkaew, 7.19, C-)

คันหู (อัศวดล คำแก้ว)

 

389. THE SPIRIT OF THE NEW PLACE (2011, Kanokkarn Titra, 13.18, A-)

เจ้าที่ ที่ใหม่ (กนกกาญจน์ ธิตระ)

 

390. FAKE ANGEL (2012, Tanasit Kerbunsong, 7, B+ )

นางฟ้าจำแลง (ธนสิทธิ เกื้อบุญส่ง)

 

391. THE LAST MINUTE (2012, Polwat Yotying, 13, A+)

นาทีสุดท้าย (พลวัต ยศยิ่ง)

 

392. EXILE (2012, Worrawut Lakchai, 13, A+5)

เนรเทศ (วรวุฒิ หลักชัย)


 

393. POSTCARD (2011, Asawadol Kamkaew, 7.19, A)

โปสการ์ด (อัศวดล คำแก้ว)

 

394. BELOVED ELDER SISTER, BELOVED LITTLE SISTER (2012, Pennapa Raosakul, 3.14, A+)

พี่สาวสุดที่ LOVE น้องสาวสุดที่รัก (เพ็ญนภา ราวสกุล)

 

395. PROJECT KILL 3 (2011, Angkarn Ritthipad, 16, A+/A)

PROJECT KILL 3 (อังคาร ฤทธิพรัด)

 

396. RED BEETLE (2010, Disspong Sampattavanich, 13.49, A-)

RED BEETLE (ดิษพงษ์ สัมปัตตะวนิช)

 

397. THE MINIDV (2012, Romran Jongjarp, 13.23, A+)

THE MINIDV (โรมรัน โจงจาบ)

 

398. THE MOMENT (2012, Pathomwat Wansukprasert, 8.40, A+)

THE MOMENT (ปฐมวรรธน์ วันสุขประเสริฐ)

 

399. THE WORLD’S END (2012, Phanuthep Sutthithepthamrong, 16.30, A-/B+ )

THE WORLD’S END (ภาณุเทพ สุทธิเทพธำรง)

 

400. THE TIME (2012, Piyawat Sichin, animation, 3.01, B- )

THE TIME (ปิยะวัฒน์ สิฉิน)

 

401. TINY THAILAND (2011, Pornthep Jaipra, animation, 1.35, A)

TINY THAILAND (พรเทพ ใจพระ)

 

402. THREE TIME (2012, Aden Wanthong + Thanakorn Prasomkarn, 22.19, A+/A)

THREE TIME (อาเด็น วังทอง + ธนากร ประสมการ)

 

403. CAPITAL CITY (2012, Itsara Jaemsaibua, 13, A+10)

เมืองกรุง (อิศรา แจ่มสายบัว)

 

404. THIS IS NOT THE LAST TIME (2012, Natthan Krungsri, 14, A)

ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย (ณัฐธัญ กรุงศรี, แพร่)

 

405. THE CLOSER WE ARE, THE FAR APART WE BECOME (2012, Ranita Tintalay, 4.30, A+30)

ยิ่งใกล้ยิ่งไกล (รานิตา ถิ่นทะเล)

 

406. NICE TO MEET YOU (2012, Watcharapol Saisongkroh, 7.13, A+30)

ยินดีที่ได้รู้จัก (วัชรพล สายสงเคราะห์)

 

407.EVERY MINUTE ON THE STREET (2012, Benjaphan Rungsubhatanond, 16.58, A+30)

รักแรกพบ (เบญจพรรณ รุ่งศุภตานนท์)

 

408.  LOVE AND REVENGE (2012, Noppatorn Sithmanee, 18.41, B )

รักแรงแค้น (นภธร สิทธิมณี)

 

409. ANY WHICH WAYS (2012, Thee Boonkreangkrai, 23.07, A+25)

วิถีใดใด (ธีร์ บุณย์เกรียงไกร)

 

410. A CLASSROOM IN GRADE 5 (2012, Gullada Kuntipong + Kittisak Lennui + Weerawat Mukda, A+5)

ห้องเรียน ป.5 (กุลดา ขันติพงศ์ + กิตติศักดิ์ เหล็นนุ้ย + วีระวัฒน์ มุกดา)

 

411. LIKE ANOTHER PERSON (2012, Jaruwan Bunyayothin + Kon Damrongwat, 5.53, B+ )

เหมือนเป็นคนอื่น (จารุวรรณ บุณยโยธิน + กรณ์ ดำรงวัธน์)

Marathon Film Fest on July 2, 2013

Favorite Actor: Pichet Klunchun – UNWRAPPING CULTURE (2013, Pichet Klunchun, stage play, A+)

Favorite Actress: Julie Christie – THE COMPANY YOU KEEP (2013, Robert Redford, A+)

Desirable Actor: Zhang Wen – JOURNEY TO THE WEST: CONQUERING THE DEMONS (2013, Stephen Chow + Chi-kin Kwok, A+15)


Favorite Actor: Wachara Kanha – MINDVOLUTION (2013, Alwa Ritsila, A+25)

Favorite Actress: Julie-Marie Parmentier – NO AND ME (2010, Zabou Breitman, A+)

Desirable Actor: Jirath Ketphu + Apichayan Kunathipapisiri + Siwakorn Inprasit – ROSE: LAST LOVE (2013, Jittinun Yodwongsakul, A-)

Director given to me by Wiwat Filmsick Lertwiwatwongsa: Ulrike Ottinger

$
0
0

Director given to me by Wiwat Filmsick Lertwiwatwongsa: Ulrike Ottinger

 

 Movies I loved:  MADAME X: AN ABSOLUTE RULER (1978), TICKET OF NO RETURN (1979), FREAK ORLANDO (1981), THE IMAGE OF DORIAN GRAY IN THE YELLOW PRESS (1984), UNDER SNOW (2011)

 

Movies I hated: None

 

 Movies I like: SUPERBIA (1986), JOAN OF ARC OF MONGOLIA (1989)

 

 Movies I want to see: TAIGA (1992, 501min or 8 hours 21 minutes)

 

Imaginary Movie inspired by Ulrike Ottinger: JACK SPARROW AND MADAME X GO BOATING, in which the boat of  Madame X from MADAME X: AN ABSOLUTE RULER, the boat of Jack Sparrow from PIRATES OF THE CARIBBEAN, the boat of Vedova Ching from SINGING BEHIND SCREENS (2003, Ermanno Olmi), the boat of Asia the Invincible from SWORDSMAN III: THE EAST IS RED (1993, Ching Siu-tung + Raymond Lee), and the boat of Anna Planeta from SWEET MOVIE (1974, Dusan Makavejev)  collide with one another in the river in front of MEKONG HOTEL (2012, Apichatpong Weerasethakul).



THE THIRD EYE (2013, Unaloam Janroongmaneekul + Thitiphun Bumrungwong, documentary, A+30)

$
0
0

 

สิ่งที่ชอบมากใน THE THIRD EYE

 

1.การเลือก subject ของหนัง ที่เป็นเรื่องของคนด้อยสิทธิ์ยกกำลังสอง คือการเป็นคนแหลมฉบังที่ถูกรุกรานพื้นที่ทำประมงก็เป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์มากพออยู่แล้ว แต่หนังสารคดีเรื่องนี้โฟกัสไปที่ชาวประมงตาบอดที่มักไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประท้วง มันจึงเป็นการเจาะไปยังคนที่ด้อยสิทธิ์ยิ่งกว่าคนด้อยสิทธิ์ด้วยกันเองอีก

 

วิธีการนี้ทำให้นึกถึงหนังเรื่องนึงเมื่อปีที่แล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่อง “เข็มขัดกับหวี” ของสุทิตย์ ซาจ๊ะหรือเปล่า ที่ตัวเอกเป็นชาวลาหู่ไร้สัญชาติ คือในหนังเรื่องนั้นเราจะเห็นว่าตัวประกอบที่เป็นชาวลาหู่นั้นด้อยสิทธิ์อยู่แล้ว แต่ชาวลาหู่กลุ่มนี้ก็ยังมีสัญชาติไทย และยังพอมีสิทธิได้รับความช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่ตัวละครเอกของเรื่องนี่เป็นชาวลาหู่ไร้สัญชาติ หรือที่ฟิล์มซิคเรียกว่า “คนชายขอบของชายขอบ” ซึ่งเป็นคนที่สมควรได้รับความสนใจอย่างมากๆ

 

2.หนังมีการถ่ายทอดวิถีชีวิตชาวบ้านด้วย และไม่ได้ทำท่าทีเป็นเพียงหนังต่อต้านโครงการท่าเรือแหลมฉบังเพียงอย่างเดียว หนังจึงมีมิติที่ลึกกว่าและเป็นมนุษย์มากกว่าหนังต่อต้านโครงการท่าเรือ,หนังต่อต้านเขื่อนเรื่องอื่นๆ  จุดนี้ทำให้นึกถึง RASESALAI ของณรงค์ ศรีโสภาพ และฟ้าต่ำแผ่นดินสูงของนนทวัฒน์ นำเบญจพลด้วย คือหนังสามเรื่องนี้มันมีประเด็นการเมือง แต่มันก็มีความเป็นมนุษย์สูงมากๆด้วย

 

ดูหนังเรื่อง THE THIRD EYE แล้วเราว่ามันดีพอๆกับหนังสารคดีหลายเรื่องที่เราดูทางทีวีช่อง TV5MONDE มันมีหนังสารคดีหลายเรื่องที่นำเสนอชีวิตอันยากลำบากของชาวประมงในสเปน, ในอังกฤษ, ในทะเลสาบของชาด, ในทะเลสาบแคสเปียนของอิหร่าน ซึ่งชีวิตชาวประมงพวกนี้ชิบหายไม่แพ้กัน เพราะปัญหาโลกร้อน, สิ่งแวดล้อม, นโยบายรัฐบาล etc. แต่สิ่งที่เราชอบมากในหนังสารคดีพวกนี้คือคนทำเขานำเสนอ วิถีชีวิตของ subject ออกมาได้ดีมากๆน่ะ มันทำให้ subject ดูเป็นมนุษย์มากๆ และส่งผลให้หนังสารคดีพวกนี้มันไม่ได้เป็นเพียง การส่ง message”, “การให้ information” หรือ การกระตุ้น awareness” เพียงอย่างเดียว แต่มันมีความเป็นมนุษย์สูงด้วย

 

3.หนังไม่ได้ฟูมฟายกับ subject ของเรื่อง ทั้งความพิการของตัวละคร หรือความทุกข์ของชาวบ้าน เราว่าหนังนำเสนอปัญหาของประชาชนได้ดี โดยไม่พยายามบีบคั้นให้คนดูสงสารพวกเขาด้วยเครื่องเร้าอารมณ์ที่ไม่จำเป็น

 

4.ฉากกล้องลงน้ำแล้วผุดขึ้นผุดลงตอน subject ของเรื่องลงไปซ่อมเรือ ถือเป็นหนึ่งในฉากที่เราชอบที่สุดประจำปีนี้ เราแทบไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนทำแบบนี้มาก่อน

 

THE HARDSHIP IN BEW'S LIFE (2013, Thanapruet Prayoonprom, A+30)

$
0
0

สิ่งที่ชอบมากๆใน “ความลำบากยากเย็นในช่วงชีวิตของนายบิว”

 

(เราฟังประโยคสนทนาในเรื่องไม่ออกในหลายช่วงมากๆ ก็เลยอาจจะเข้าใจหนังเรื่องนี้ผิดไปบ้าง ถ้าเข้าใจผิดอะไรยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วย)

 

1.เราดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง ทั้งๆที่หนังมันตลกมากๆ เราไม่รู้ว่าผู้กำกับตั้งใจอะไรยังไง แต่หนังเรื่องนี้มันทำให้เรานึกถึง “ความเล็กกะจ้อยร่อยของชีวิตเราเอง” น่ะ ประโยคสนทนาช่วงท้ายของหนังมันทำให้เราเศร้ามากเลยนะ มันคือการ disillusion ของชีวิตน่ะ แต่มันก็ไม่ได้ฟูมฟายกับการ “สงสารตัวเอง” ด้วย คือเหมือนพระเอกมันพยายามจะทำใจยอมรับว่า ชีวิตมันก็คงเป็นได้แค่คนธรรมดาคนนึง ยังไงก็สู้เพื่อนรวยๆไม่ได้หรอก ไม่ว่าตัวพระเอกจะเคยมีความฝันความหวังอะไรในชีวิตมาก่อนก็ตาม

 

สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่จี๊ดใจตัวเราเองมากๆเป็นการส่วนตัวนะ และมันเป็นสิ่งที่ขัดกับหนังบางเรื่องในเทศกาลมาราธอนด้วย โดยเฉพาะหนังที่เด็กมัธยมทำ เพราะหนังบางเรื่องทั้งในและนอกเทศกาลมาราธอน มันเป็นหนังที่ too optimistic สำหรับเราน่ะ อย่างเช่นเรื่อง “THE WAY I WANT วันที่ฝันเป็นจริง” (สุภาณี ลิ้มโรจน์นุกูล, A+15) ที่เราชอบมากๆ แต่สาเหตุที่เราไม่ได้ให้ A+30 กับ THE WAY I WANT เป็นเพราะตอนจบของหนัง ตัวละครนางเอกเหมือนจะเชื่อว่า “สักวันฉันจะทำให้ฝันเป็นจริงได้” ซึ่งมันไม่ผิดหรอกที่นางเอกของหนังหรือผู้สร้างหนังเรื่องนี้จะเชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ว่ามันทำให้เราดีดตัวออกห่างจากหนังเท่านั้นเอง เพราะเราไม่เชื่อเช่นนั้นแล้ว

 

เพราะฉะนั้นตอนจบของ  ความลำบากยากเย็นในช่วงชีวิตของนายบิวก็เลยเป็นสิ่งที่เราโหยหาจากหนังหลายๆเรื่อง แต่หาไม่เจอ จนมาเจอในหนังเรื่องนี้นี่แหละ และเราก็ชอบที่ตัวพระเอกไม่ได้ฟูมฟายกับความธรรมดาของชีวิตมันด้วย เพราะชีวิตมันก็ไม่ได้ลำบากยากแค้นอะไร เพียงแค่ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นผู้กำกับชื่อดัง,คนรวย หรือคนที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง

 

2.นอกจากตอนจบแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีกในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้เรานึกถึง “ความเล็กกะจ้อยร่อยของชีวิตเราเอง” อย่างเช่น “การถ่ายภาพจากระยะไกลหรือค่อนข้างไกลในหลายๆฉาก คือถ้าเป็นในหนังเรื่องอื่นๆ หนังมันคง close up ไปที่หน้าตัวละครเอก หรือหน้าตัวละครที่กำลังพูดน่ะ แต่หนังเรื่องนี้ใช้วิธีถ่ายจากระยะค่อนข้างไกลในหลายๆฉากที่ตัวละครคุยกัน มันก็เลยยิ่งทำให้เรานึกถึงความเล็กกะจ้อยร่อยของชีวิตเรา และมันทำให้หนังเรื่องนี้ treat พระเอก “ในระดับที่เท่ากับ” ตัวประกอบในหลายๆฉากด้วย มันไม่ได้ treat พระเอกในแบบที่ว่า “โห เรื่องของมึงยิ่งใหญ่มากเลยว่ะ ปัญหาของมึงยิ่งใหญ่มาก” คนอื่นๆในชีวิตมึงเป็นแค่ตัวประกอบที่มีหน้าที่คอยเสริมให้มึงเด่นขึ้นเท่านั้น เราว่าวิธีการที่หนังเรื่องนี้ใช้มันทำให้ตัวประกอบทุกตัวดูมีชีวิตเป็นของตัวเอง, ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น แม้แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้า 7-ELEVEN คือในหนังเรื่องอื่นๆ เราจะรู้สึกว่าตัวประกอบที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้า 7-ELEVEN มันเป็นตัวประกอบที่ “เกิดมาเพื่อเดินผ่านฉาก” เท่านั้นน่ะ แต่ในหนังเรื่องนี้ เราจะรู้สึกว่าตัวประกอบทุกตัวที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้า 7-eleven มันมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทั้งๆที่หนังมันไม่ได้พาเราเข้าไปรู้จักชีวิตของพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียวก็ตาม ซึ่งนั่นเป็นเพราะวิธีการถ่ายภาพของหนังที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ โดยเฉพาะในฉากนึงที่หนัง treat ตัวละครเอกด้วยการถ่ายภาพจากระยะที่ไกลเท่าๆกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้า 7-ELEVEN

 

3.นอกจาก “การลดทอนความยิ่งใหญ่ของพระเอกด้วยการถ่ายภาพจากระยะค่อนข้างไกล” แล้ว หนังเรื่องนี้ยังลดทอนความยิ่งใหญ่ของพระเอกหรือตัวละครบางตัวด้วย “เสียง” ด้วย คือแทนที่หนังเรื่องนี้จะโฟกัสไปที่เสียงคุยของตัวละคร หนังเรื่องนี้ยังมีการใช้เสียงในแบบที่เหมือน “หนังทดลอง” มากๆ ในหลายๆฉาก อย่างเช่น

 

3.1 ในบางฉาก เราไม่ได้ยินเสียงตัวละครคุยกัน เพราะเสียงรถไฟฟ้า หรือเสียง ambient อะไรต่างๆ มันดังกลบไปหมด ซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้กำกับตั้งใจ, หรือว่าบันทึกเสียงไม่ดี, หรือว่ามิกซ์เสียงไม่ดี, หรือเป็นเพราะความผิดพลาดทางการฉาย แต่เราว่าในบางฉาก มันทำให้เรารู้สึกถึงความเล็กกะจ้อยร่อยของตัวละคร ที่แม้แต่เสียงของพวกเขา ก็ถูกกลบทับด้วยเสียงของอะไรอื่นๆ

 

3.2 ในบางฉาก เราได้ยินเสียงตัวละครประกอบ แต่เราเห็น subtitle บทสนทนาของตัวละครหลัก

 

3.3 ในบางฉาก เราได้เห็นภาพจากฉากนึง แต่ได้ยินเสียงจากอีกฉากนึง

 

3.4 ในบางฉาก เราได้ยินเสียงตัวละครคุยกัน แต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคไหน เพราะหนังถ่ายภาพจากระยะค่อนข้างไกล

 

คือเราไม่รู้หรอกว่าผู้กำกับตั้งใจอะไรยังไง แต่เราชอบหนังทดลองน่ะ และเราก็ชอบ element แบบนี้ที่มันมาปรากฏในหนังเรื่องนี้

 

4.เราชอบความสับสนของพระเอกด้วย เราว่าหนังนำเสนอความ insecure ของพระเอกได้ดีพอๆกับหนังของ Caveh Zahedi เลย เราชอบความสับสนของพระเอกตั้งแต่ฉากที่สองแล้ว ที่เป็นพระเอกเล่นเครื่องดนตรี แล้วก็มี text อะไรต่างๆขึ้นมายุ่บยั่บเต็มไปหมด มันทำให้เรานึกถึงความสับสนในการเลือกแนวทางชีวิต  และวิธีการใช้เสียงแบบต่างๆที่เราบรรยายไว้ในข้อ 3 มันก็ช่วยสร้างความสับสนของชีวิตในแบบที่เราชอบด้วย

 

5.ทั้งการถ่ายภาพและการใช้เสียงในหนังเรื่องนี้ รวมทั้งเนื้อเรื่องของหนัง มันทำให้หนังไม่บีบบังคับให้เรา focus ไปที่ชีวิตของพระเอกแบบในหนังเรื่องอื่นๆน่ะ แต่มันเหมือนกับว่ารอบๆตัวพระเอกมันมีพลังชีวิตอะไรบางอย่างไหลเวียนไปมาเต็มไปหมด คือในหนังเรื่องอื่นๆมันคงจะ close up หน้าพระเอก และทำให้คนดูได้ยินเสียงพูดของพระเอกชัดๆในทุกๆฉาก แต่ในหนังเรื่องนี้ มันเหมือนกับว่ามันมีอะไรยุ่บยั่บ, สับสนอลหม่าน และ “มีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง” เกิดขึ้นรอบพระเอกอยู่ตลอดเวลา เราก็เลยชอบจุดนี้มากๆ เพราะมันทำให้เรานึกถึงหนังหรือละครเวทีที่เราชอบมากๆบางเรื่อง อย่างเช่น บ้านคัลท์เมืองคัลท์ (2013, วิชย อาทมาท, A+30) คือในละครเวทีเรื่องนี้ เต้ ไกรวุฒิเคยเขียนถึงว่า มันเหมือนมี “ช่องลม” อะไรบางอย่าง ไหลเวียนอยู่รอบๆเวที คือแทนที่ละครเวทีเรื่องนี้จะเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงอย่างชัดเจนให้คนดูติดตามได้ง่ายๆ แต่มันเหมือนกับว่าเนื้อเรื่องมันโดนลดทอนความสำคัญคงไปดีกรีนึง และมีองค์ประกอบอะไรบางอย่างที่ถูกขับเน้นขึ้นมาแทน และมันทำให้ละครเวทีเรื่องนี้มันดูเหมือน “มีอิสระ” อะไรบางอย่างมากกว่าละครเวทีที่เล่าเรื่องแบบเน้นความสำคัญของเนื้อเรื่องเพียงอย่างเดียว

FAIR...FAIR (Chantana Tiprachart, A+15)

$
0
0

สิ่งที่ชอบหรือติดใจใน FAIR…FAIR (Chantana Tiprachart, A+15)

 

(เราดูรอบเดียว อาจจะเข้าใจอะไรผิดไปบ้างนะ เพราะเราแยกเพื่อนนางเอกไม่ถูก ดูแล้วจะงงๆว่าเพื่อนนางเอกมีกี่คน แล้วคนไหนเป็นคนไหนกันแน่)

 

1.ชอบ dilemma ในตอนจบ ว่าเราควรจะทำยังไงดี ถ้าเป็นตัวเราเองในตอนจบก็คงตัดสินใจยากเหมือนกัน ว่าจะแบ่งเงินกันยังไง

 

2.ดูแล้วแอบนึกถึงตัวเองตอนเข้ามหาลัยใหม่ๆ ตอนนั้นมีคนสอนเราว่า เวลาเข้ามหาลัยไป ให้ทำตัวนิสัยดี เวลาเจอเพื่อนๆก็ให้บอกว่า “อุ๊ย อุ๊ย มีอะไรให้ฉันช่วยไหมจ๊ะ” แต่ในใจก็คิดว่า “ใครมันจะช่วยมึง”

 

ในหนังจะมีตัวละครตัวนึงที่ทำตัวคล้ายๆอย่างนี้ ฮ่าๆๆ คือเธอมาที่ห้องนางเอก ปากก็บอกว่าจะช่วย แต่จริงๆแล้วเธอไม่ได้ช่วยอะไรเลย

 

3. dilemma อีกอันนึงที่ชอบก็คือว่า เพื่อนเธอมี “เหตุผลสมควร” หรือไม่ในการไม่มาช่วยงาน คนนึงต้องทำงานช่วยพี่ (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) อีกคนก็ประสบอุบัติเหตุที่แขน สองคนนี้ควรได้รับเงินส่วนแบ่งหรือไม่

 

4. สิ่งที่ชอบมากก็คือว่า เพื่อนนางเอก 2 คนที่ดูเหมือนไม่ได้ช่วยนางเอกเลยนั้น ดูเหมือนจะ “ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย” ที่ปล่อยให้นางเอกลำบากอยู่คนเดียว และทั้งสองคนก็ไม่ได้ดูเหมือนเป็นคนเลวอะไรเลยด้วย เราว่าจุดนี้น่าสนใจดี คือหนังบางเรื่องอาจจะสร้างตัวละครคนเลวขึ้นมาเพื่อเอารัดเอาเปรียบนางเอกโดยตรงเลย แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เลือกใช้วิธีง่ายๆอย่างนั้น เพื่อนนางเอก 2 คนดูเหมือนจะมีเหตุผลสมควรที่ช่วยนางเอกไม่ได้ แต่นางเอกก็ต้องลำบากเพราะพวกมึงอยู่ดีนั่นแหละ และพวกมึงก็ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยด้วยนะ (ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพค่ะ แต่ดิฉันรู้สึกว่าถ้าหากดิฉันเป็นนางเอก ดิฉันก็คงต้องใช้คำพูดแบบนี้แหละค่ะ)

 

5.เราว่าหนังเรื่องนี้เป็นขั้วตรงข้ามของหนังเรื่อง “เส้นผมบังใจ” ที่พูดถึงประเด็นเรื่องการเอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานเหมือนกัน แต่หนังสองเรื่องนี้เลือกใช้ mode ที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง “เส้นผมบังใจ” เลือกใช้ mode extreme melodrama และมันก็ทำออกมาได้สุดเดชจริงๆ ส่วน FAIR…FAIR เลือกใช้ mode สมจริง และก็ทำออกมาได้ดีมากๆในแนวทางของมันเองเช่นกัน


LEITFADEN: PANUT (Theeraphat Ngathong, documentary, B+)

$
0
0

ดู LAST DAY กับ LEITFADEN: PANUT แล้ว เราก็เลยนึกถึงสิ่งที่ Filmsick พูดไว้ว่า คนกำกับหนังสารคดีที่ทรงพลังบางคน มันต้อง “ใจร้าย” กับ subject ที่มันถ่ายน่ะ คือเราว่า LAST DAY กับ LEITFADEN: PANUT มันมีความน่าเบื่ออยู่บ้างสำหรับเรา เพราะว่า

 

1.มันดูผิวเผินเกินไปกับสิ่งที่มันถ่าย

 

2.เราอยากเห็น “ความเลว” หรือ “ความ controversial” ของ subject ของหนังน่ะ แต่หนังสองเรื่องนี้ดูเหมือนจะนำเสนอแต่ด้านดีของ subject มันก็เลยทำให้พลังของหนังมันลดลงไปสำหรับคนดูที่ติดใจสิ่งชั่วๆอย่างเรา

 

มันมีหนัง “สารคดีชีวิตเพื่อน” ที่เราชอบมากๆนะ อย่างเช่น “เรื่องธรรมดา” ของเมธัส ศิรินาวิน หรือ “สุทธ์” ของพัฒนะ จิระวงศ์ แต่หนังสองเรื่องนี้มันมีความใจร้ายกับ subject ของมันมากพอสมควร เพราะ “เรื่องธรรมดา” มันเป็นการแอบตั้งกล้องถ่ายเพื่อนโดยเพื่อนไม่รู้ตัวเป็นเวลานานหลายเดือน ส่วน “สุทธ์” ก็นำเสนอความผิดปกติทางจิตของเพื่อนอย่างเต็มที่ หนังสองเรื่องนี้ก็เลยทรงพลังมากๆสำหรับเรา ในขณะที่ LEITFADEN: PANUT จะไม่ได้เป็นแบบนั้น

 

แต่สิ่งที่เราชอบใน LEITFADEN: PANUT ก็คือการที่หนังบอกว่า subject ที่มันถ่ายเป็นคนธรรมดาที่อาจจะกลายเป็นคนดังในอนาคต ซึ่งเราว่าตรงนี้มันน่าสนใจมากๆ เพราะหนังสารคดีทั่วๆไปจะถ่ายคนที่ “โด่งดังอยู่แล้ว” คือ “ความโด่งดังของบุคคลคนนั้น” เป็นสิ่งที่เกิดก่อน “หนังสารคดีเกี่ยวกับบุคคลคนนั้น” ในขณะที่ LEITFADEN: PANUT ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะหนังสารคดีเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตัว subject จะโด่งดัง (หรือเปล่า) การสลับกระบวนการกันตรงจุดนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจดี แต่น่าเสียดายที่ภาพและเนื้อหาในหนังค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับเราจ้ะ

FAVORITE WEIRD OR FUNNY EDUCATIONAL FILMS

$
0
0

FAVORITE WEIRD OR FUNNY EDUCATIONAL FILMS

 

(in alphabetical order)

 

1.15-10 (2008, Comjak Thongjib, 7.30min)

คนชิงเปรต (คมจักร ทองจิบ, สตูล)

 

2.A COCK KILLS A CHILD BY PECKING ON THE MOUTH OF AN EARTHEN JAR (2013, Chulayarnnon Siriphol, 27min)

ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง (จุฬญาณนนท์ ศิริผล)


 

3.CIVIL EDUCATION ON CLIP (2010, Chanya Tawitaungkul, 20min)

คลิปใหม่คนใหม่หัวใจพลเมือง (ชัญญา ธวิตอังกูร, เชียงใหม่)

 

4.COMMUNITY SCHOOL CHILD CENTER SAFE (2010, Prachuap Plittapolkarnpim, 26min)

ชุมชน โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก ปลอดภัย (ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์)

 

5.f2f_ARCHAEOLOGIST (2011, Suporn Shoosongdej, 32min)

โบราณคดีไม่มีน้ำตา (ศุภร ชูทรงเดช)


 

6.GOOD THINGS IN THAILAND (2012, Somghad Meyen)

ของดีเมืองไทย (สมเจตน์ มีเย็น, ราชบุรี)

 

7.HOPE (2011, Prasit Subjaksa, 15.14min)

ความหวัง (ประสิทธิ์ สืบจักษะ, สตูล)

 

8.INSOMNIA (2011, Teeraponk Panyakam, 4.40min)

INSOMNIA (ธีรพงค์ ปัญญาคำ, เชียงใหม่)

 

9.LOVE OF BANANA (2008, Piyanut Kuntee, 10min)

ความรักของต้นกล้วย (ปิยณัฐ กันตี, เชียงใหม่)

 

10.NONGHARN (2007, Panus Boonnun, 14min)

หนองหาร เพราะมันไม่ใช่เรื่องสิวๆ (พนัส บุญหนุน)

 

11.REALLY CRAZY, ROLL OVER AND DIE (2011, Theeraphat Ngathong, 15.54min)

บ้าจริงๆให้กลิ้งตาย (ธีรพัฒน์ งาทอง)


 

12.THE SATELLITE (Gridpetch Yuengklang, 14.28min)

THE SATELLITE (กฤษเพชร เยื้องกลาง)

 

13.SUPER FROG VS ENERGY-HUNGRY DEMON (2010, Jackrit La-ongek, 5min)

ซูเปอร์กบปะทะปีศาจกระหายพลังงาน (จักรกฤษ ละอองเอก, ร้อยเอ็ด)

Favorite Actor: Songsak Chaloemrit – GAP (2012, Misak Chinphong, A+30)

$
0
0


Favorite Actor: Songsak Chaloemrit – GAP (2012, Misak Chinphong, A+30)

ทรงศักดิ์ เฉลิมฤทธิ์ ช่องว่าง (กำกับโดย มีศักดิ์ จีนพงษ์)





Favorite Actress: The leading actress of THE WAY I WANT (2013, Supanee Limrojnukul, A+15)

$
0
0


Favorite Actress: The leading actress of THE WAY I WANT (2013, Supanee Limrojnukul, A+15)

ดารานำหญิงของ THE WAY I WANT วันที่ฝันเป็นจริง (2013, สุภาณี ลิ้มโรจน์นุกูล)





Desirable Actor: Robert Kazinsky – PACIFIC RIM (2013, Guillermo del Toro, A+20)

Viewing all 3325 articles
Browse latest View live